ชื่อเรื่อง ทิวาแห่งเลือดและแสงดาว
จากเรื่อง Days of Blood & Starlight
ผู้แต่ง เลย์นี เทย์เลอร์
ผู้แปล พรรษพร ชโลธร
วรรณกรรมเยาวชน เหนือจริง
สำนักพิมพ์ แพรว
เรื่องย่อ
กาลครั้งหนึ่ง เทวากับอสูรตกหลุมรักกัน และวาดฝันถึงโลกอันสงบสุข นี่ไม่ใช่โลกนั้น
'คารูว์' ได้ค้นพบความจริงในที่สุดว่าเธอเป็นใคร...หรือเป็นอะไร และที่มาพร้อมกับความจริงข้อนั้นก็คือความจริงอีกข้อ ที่เธอปรารถนาจะย้อนกลับไปแก้ไข...เธอตกหลุมรักศัตรู เขาทรยศต่อเธอ และโลกก็ถึงจุดแตกหัก
คารูว์ตัดสินใจเลือกเดินบนเส้นทางแห่งการแก้แค้น เธอกับเหล่าพันธมิตรร่วมกันสร้างกองทัพขึ้นในดินแดนแห่งผืนทรายและแสงดาว เฝ้ารอให้สงครามที่ยืดเยื้อมานานแสนนานปะทุขึ้นอีกครั้ง
จากเรื่อง Days of Blood & Starlight
ผู้แต่ง เลย์นี เทย์เลอร์
ผู้แปล พรรษพร ชโลธร
วรรณกรรมเยาวชน เหนือจริง
สำนักพิมพ์ แพรว
เรื่องย่อ
กาลครั้งหนึ่ง เทวากับอสูรตกหลุมรักกัน และวาดฝันถึงโลกอันสงบสุข นี่ไม่ใช่โลกนั้น
'คารูว์' ได้ค้นพบความจริงในที่สุดว่าเธอเป็นใคร...หรือเป็นอะไร และที่มาพร้อมกับความจริงข้อนั้นก็คือความจริงอีกข้อ ที่เธอปรารถนาจะย้อนกลับไปแก้ไข...เธอตกหลุมรักศัตรู เขาทรยศต่อเธอ และโลกก็ถึงจุดแตกหัก
คารูว์ตัดสินใจเลือกเดินบนเส้นทางแห่งการแก้แค้น เธอกับเหล่าพันธมิตรร่วมกันสร้างกองทัพขึ้นในดินแดนแห่งผืนทรายและแสงดาว เฝ้ารอให้สงครามที่ยืดเยื้อมานานแสนนานปะทุขึ้นอีกครั้ง
REVIEW
กาลครั้งหนึ่งเทวาและปีศาจถือกระดูกอธิษฐานไว้คนละข้าง ... และแรงหักของมันทำให้โลกปริแยกออกเป็นสอง
คำสารภาพของอาคีวาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่คารูว์เคยมี เพราะเธอช่วยศัตรูที่ฆ่าครอบครัวของเธอ คารูว์จึงเดินทางกลับไปยังเอเรตซ์ด้วยความหวังเล็กๆน้อยๆว่าบริมสโตนยังมีชีวิตอยู่ แต่นั่นเป็นการหลอกตัวเองเมื่อทุกสิ่งที่เธอรู้จักถูกทำลายด้วยฝีมือของเหล่าเทวา จนเมื่อคารูว์ได้พบกับทิอาโกและได้มาทำหน้าที่ปลุกชีพคนตายอย่างที่บริมสโตนเคยทำมาก่อนหน้านี้ กองทัพของไคเมราจึงแข็งแกร่งและสามารประหัตประหารกับเหล่าเซราฟิมได้ในที่สุด
การสังหารเซราฟิมอย่างโหดร้ายได้เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของทิอาโกที่ส่งกองกำลังออกไป และกองทัพของไคเมราเข็มแข็งขึ้นนั่นก็เพราะฝีมือการปลุกชีพของคารูว์ ในขณะที่อาคีวาตามหาคารูว์ไม่พบและใจหนึ่งเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเธอได้ตายไปแล้ว ถึงกระนั้นอาคีวาก็ได้ช่วยชีวิตไคเมราที่เขาพอจะช่วยได้ให้รอดพ้นจากการกวาดล้างของเหล่าเซราฟิมอยู่ดี เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดภายในจิตใจของเขา
.................................................................................................
เล่มนี้เป็นอะไรที่อ่านแล้วหดหู่และหน่วงสุดๆ ด้วยการเขียนที่ดึงอารมณ์เศร้าสลดและความสิ้นหวังออกมาจากผู้อ่านได้อย่างหมดจด การเล่าเรื่องที่เฉียบคมและร่ายมนต์สะกดให้ผู้อ่านพลิกอ่านหน้าต่อไปพร้อมกับลุ้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวละครตัวนั้นๆ คือเสน่ห์ของ Days of Blood & Starlight
นิยายเล่มนี้ไม่ได้ทำให้เราร้องไห้เพราะมีบทซาบซึ้งประทับใจเหมือนอย่างในเล่มหนึ่ง และนิยายเล่มนี้ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเบื่อหรือรำคาญในความโชคร้ายของตัวละครที่ถูกแยกออกจากกันและตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อกัน อย่างน้อยก็ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่นิยายเล่มนี้ทำให้เรารู้จักความเป็น 'สีเทา' ของตัวละคร ว่าไม่มีใครที่จะขาวสะอาดหมดจดหรือไม่มีใครที่จะดำมืดและเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ทุกคนล้วนแต่เป็นสีเทาที่มีหลายเฉด ขึ้นอยู่กับว่าจิตใจของคนๆนั้นจะถลำลึกไปสู่ด้านไหนมากกว่ากัน
อีกสิ่งหนึ่งที่เราประทับใจนั่นก็คือเสน่ห์ในการเล่าเรื่องของเลย์นีที่ทำให้เรื่องราวธรรมดาๆมีความดึงดูดขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ บอกเลยถ้าไม่ใช่ฝีมือในการเล่าเรื่องของเลย์นีละก็ นิยายชุดนี้คงเป็นนิยายน้ำเน่ายุงชุมแนวเดียวกับโรมิโอจูเลียตไปแล้ว เราชอบการที่ฉากถูกเซ็ตอยู่ท่ามกลางสงครามที่ไม่ได้มีแต่ความสูญเสียสิ้นหวังอย่างเดียว เพราะในนั้นยังมีประกายไฟเล็กๆแห่งความหวังโชนแสงอยู่ ทำให้ผู้อ่านไม่ได้รู้จักหมดหวังไปกับตัวละครมากนัก เพราะตราบใดที่เรารู้ว่า ... ยังมีทางออกสำหรับอาคีวาและคารูว์อยู่เสมอไม่ว่าทั้งสองจะเจอทางตันแค่ไหน มันก็เป็นสร้างกำลังใจกลายๆให้แก่ผู้อ่านแล้ว
Days of Blood & Starlight ไม่ใช่นิยาย YA ที่เน้นการผจญภัยเพ้อฝันในโลกแห่งจินตนาการ แต่นิยายเรื่องนี้ขายความเป็นจริงที่สะท้อนออกมาในแต่ละบทถึงแก่นแท้ของมนุษย์ว่า ... ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด และบางครั้งพวกเขาที่เคยทำผิด ก็เพียงแต่ต้องการการให้อภัย
Daughter of Smoke & Bone คือเล่มแรกที่เต็มไปด้วยความหวานของความรักที่พลัดพรากและกลับมาพบกันใหม่ การทรยศหักหลังในท้ายเล่มแรกนั้นนำเรามาสู่ Days of Blood & Starlight ที่ตัวละครมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากขึ้น ความสัมพันธ์ที่ระทมขื่นขม แต่ก็ยังไม่สิ้นศรัทธาในช่วงที่เลวร้ายที่สุด นั่นทำให้ทกอย่างดูพัฒนาขึ้นมาจากเล่มแรกมากๆ ทั้งด้านการฉีกแนวอารมณ์ได้อย่างสิ้นเชิงและเรียงร้อยเรื่องราวออกมาได้มีจังหวะและน่าสนใจมากขนาดนี้
คำสารภาพของอาคีวาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่คารูว์เคยมี เพราะเธอช่วยศัตรูที่ฆ่าครอบครัวของเธอ คารูว์จึงเดินทางกลับไปยังเอเรตซ์ด้วยความหวังเล็กๆน้อยๆว่าบริมสโตนยังมีชีวิตอยู่ แต่นั่นเป็นการหลอกตัวเองเมื่อทุกสิ่งที่เธอรู้จักถูกทำลายด้วยฝีมือของเหล่าเทวา จนเมื่อคารูว์ได้พบกับทิอาโกและได้มาทำหน้าที่ปลุกชีพคนตายอย่างที่บริมสโตนเคยทำมาก่อนหน้านี้ กองทัพของไคเมราจึงแข็งแกร่งและสามารประหัตประหารกับเหล่าเซราฟิมได้ในที่สุด
การสังหารเซราฟิมอย่างโหดร้ายได้เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของทิอาโกที่ส่งกองกำลังออกไป และกองทัพของไคเมราเข็มแข็งขึ้นนั่นก็เพราะฝีมือการปลุกชีพของคารูว์ ในขณะที่อาคีวาตามหาคารูว์ไม่พบและใจหนึ่งเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเธอได้ตายไปแล้ว ถึงกระนั้นอาคีวาก็ได้ช่วยชีวิตไคเมราที่เขาพอจะช่วยได้ให้รอดพ้นจากการกวาดล้างของเหล่าเซราฟิมอยู่ดี เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดภายในจิตใจของเขา
spoiler: คลิกเพื่อดู Spoiler
.................................................................................................
เล่มนี้เป็นอะไรที่อ่านแล้วหดหู่และหน่วงสุดๆ ด้วยการเขียนที่ดึงอารมณ์เศร้าสลดและความสิ้นหวังออกมาจากผู้อ่านได้อย่างหมดจด การเล่าเรื่องที่เฉียบคมและร่ายมนต์สะกดให้ผู้อ่านพลิกอ่านหน้าต่อไปพร้อมกับลุ้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวละครตัวนั้นๆ คือเสน่ห์ของ Days of Blood & Starlight
นิยายเล่มนี้ไม่ได้ทำให้เราร้องไห้เพราะมีบทซาบซึ้งประทับใจเหมือนอย่างในเล่มหนึ่ง และนิยายเล่มนี้ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเบื่อหรือรำคาญในความโชคร้ายของตัวละครที่ถูกแยกออกจากกันและตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อกัน อย่างน้อยก็ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่นิยายเล่มนี้ทำให้เรารู้จักความเป็น 'สีเทา' ของตัวละคร ว่าไม่มีใครที่จะขาวสะอาดหมดจดหรือไม่มีใครที่จะดำมืดและเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ทุกคนล้วนแต่เป็นสีเทาที่มีหลายเฉด ขึ้นอยู่กับว่าจิตใจของคนๆนั้นจะถลำลึกไปสู่ด้านไหนมากกว่ากัน
อีกสิ่งหนึ่งที่เราประทับใจนั่นก็คือเสน่ห์ในการเล่าเรื่องของเลย์นีที่ทำให้เรื่องราวธรรมดาๆมีความดึงดูดขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ บอกเลยถ้าไม่ใช่ฝีมือในการเล่าเรื่องของเลย์นีละก็ นิยายชุดนี้คงเป็นนิยายน้ำเน่ายุงชุมแนวเดียวกับโรมิโอจูเลียตไปแล้ว เราชอบการที่ฉากถูกเซ็ตอยู่ท่ามกลางสงครามที่ไม่ได้มีแต่ความสูญเสียสิ้นหวังอย่างเดียว เพราะในนั้นยังมีประกายไฟเล็กๆแห่งความหวังโชนแสงอยู่ ทำให้ผู้อ่านไม่ได้รู้จักหมดหวังไปกับตัวละครมากนัก เพราะตราบใดที่เรารู้ว่า ... ยังมีทางออกสำหรับอาคีวาและคารูว์อยู่เสมอไม่ว่าทั้งสองจะเจอทางตันแค่ไหน มันก็เป็นสร้างกำลังใจกลายๆให้แก่ผู้อ่านแล้ว
Days of Blood & Starlight ไม่ใช่นิยาย YA ที่เน้นการผจญภัยเพ้อฝันในโลกแห่งจินตนาการ แต่นิยายเรื่องนี้ขายความเป็นจริงที่สะท้อนออกมาในแต่ละบทถึงแก่นแท้ของมนุษย์ว่า ... ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด และบางครั้งพวกเขาที่เคยทำผิด ก็เพียงแต่ต้องการการให้อภัย
Daughter of Smoke & Bone คือเล่มแรกที่เต็มไปด้วยความหวานของความรักที่พลัดพรากและกลับมาพบกันใหม่ การทรยศหักหลังในท้ายเล่มแรกนั้นนำเรามาสู่ Days of Blood & Starlight ที่ตัวละครมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากขึ้น ความสัมพันธ์ที่ระทมขื่นขม แต่ก็ยังไม่สิ้นศรัทธาในช่วงที่เลวร้ายที่สุด นั่นทำให้ทกอย่างดูพัฒนาขึ้นมาจากเล่มแรกมากๆ ทั้งด้านการฉีกแนวอารมณ์ได้อย่างสิ้นเชิงและเรียงร้อยเรื่องราวออกมาได้มีจังหวะและน่าสนใจมากขนาดนี้
คะแนน 10/10
No comments:
Post a Comment