Jun 23, 2015

Harry Potter and the Order of the Phoenix (Harry Potter #5)



ชื่อเรื่อง Harry Potter and the Order of the Phoenix
จากชุด Harry Potter
ผู้แต่ง J.K. Rowling
วรรณกรรมเยาวชน แฟนตาซี
สำนักพิมพ์ Scholastic

เรื่องย่อ


There is a door at the end of a silent corridor. And it’s haunting Harry Potter’s dreams. Why else would he be waking in the middle of the night, screaming in terror?

Here are just a few things on Harry’s mind:
• A Defense Against the Dark Arts teacher with a personality like poisoned honey
• A venomous, disgruntled house-elf
• Ron as keeper of the Gryffindor Quidditch team
• The looming terror of the end-of-term Ordinary Wizarding Level exams

…and of course, the growing threat of He-Who-Must-Not-Be-Named. In the richest installment yet of J. K. Rowling’s seven-part story, Harry Potter is faced with the unreliability of the very government of the magical world and the impotence of the authorities at Hogwarts.

Despite this (or perhaps because of it), he finds depth and strength in his friends, beyond what even he knew; boundless loyalty; and unbearable sacrifice.

Though thick runs the plot (as well as the spine), readers will race through these pages and leave Hogwarts, like Harry, wishing only for the next train back.

REVIEW

ในฤดูร้อนแฮร์รี่ถูกผู้คุมวิญญาณโจมตีและทำให้เขาต้องใช้คาถาผู้พิทักษ์ต่อหน้าดัดลีย์ แฮร์รี่ต้องรอฟังคำพิพากษาจากกระทรวงที่กำลังมาถึง ในระหว่างนั้น ภาคีนกฟินิกซ์ได้มารับเขาให้ไปอาศัยอยู่กับซิเรียส แบล็ค ที่นั่นแฮร์รี่ถึงรู้ว่าคนรู้จักของเขาได้สร้างสมาคมลับๆขึ้นเพื่อรับมือกับการกลับมาของโวลเดอมอร์ เพื่อวันตัดสินมาถึงและแฮร์รี่พ้นข้อกล่าวหาภายใต้ความช่วยเหลือจากดัมเบิลดอร์ แฮร์รี่จึงกลับไปเรียนที่ฮอกวอตส์ได้ตามปกติ ซึ่งปีนี้โรงเรียนได้การเปลี่ยนแปลงขึ้นโดยแฮกริดหายตัวไป พร้อมกับการปรากฏตัวของยัยคางคกแก่อัมบริดจ์ที่ทำให้แฮร์รี่โดนลงโทษหลายต่อหลายครั้งและโดนสั่งแบนไม่ให้เขาเล่นควิดดิชตลอดระยะเวลาการศึกษา

การสอบ O.W.L กำลังจะมาถึงและนั่นทำให้อัมบริดจ์เข้มงวดกับโรงเรียนมากขึ้น แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงคือหล่อนต้องการใช้อำนาจของกระทรวงในการควบคุมความเคลื่อนไหวภายในโรงเรียน ฟัดจ์ปฏิเสธความจริงต่อหน้าหนังสือพิมพ์ว่าคนที่คนก็รู้ว่าใครได้หวนกลับมาเพื่อที่รัฐมนตรีจะได้ไม่สูญเสียอำนาจของเขาไปจากความผิดพลาดครั้งนี้ รวมถึงบิดเบียนข่าวการแหกคุกของนักโทษอัซคาบัน อัมบริดจ์ใช้สิทธิพิเศษของเธอทำให้ทั้งโรงเรียนปั่นป่วน ในระหว่างที่แฮร์รี่ทนทุกข์กับความฝันครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้สึกว่าในนั้นเขาเป็นส่วนหนึ่งของโวลเดอมอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้นสเนปจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแฮร์รี่โดยสอนการสกัดใจให้กับเขา

แฮร์รี่ค้นพบความจริงอันน่าละอายเกี่ยวกับตัวตนของเจมส์ พอตเตอร์ในอดีต ซึ่งก่อให้เกิดคำถามมากมายว่าแท้จริงแล้วพ่อของเขาทำตัวร้ายกาจกับสเนปมาตลอดจริงหรือ ? นำไปสู่สถานการณ์ที่แฮร์รี่ต้องสืบหาความจริงจากซิเรียส อัมบริดจ์รู้ทันแผนการณ์ทั้งหมดและพยายามจะจับแฮร์รี่ให้ได้ จนกระทั่งกองทัพดัมเบิลดอร์ที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมาถูกเปิดโปง และดัมเบิลดอร์ถูกอัมบริดจ์ยึดอำนาจการเป็นอาจารย์ใหญ่ แฮกริดถูกตามล่า และเมื่อความฝันมาเยือนแฮร์รี่อีกครั้งว่าซีเรียสตกอยู่ในอันตรายจากโวลเดอมอร์ ทำให้เขาต้องเร่งเดินทางไปยังกระทรวงเวทมนตร์ให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยชีวิตพ่อทูนหัวของเขาเอาไว้ให้ได้

และนั่นก็เป็นแผนลวงที่โวลเดอมอร์ได้วางเอาไว้เพื่อล่อให้แฮร์รี่มาติดกับและหยิบลูกแก้วพยากรณ์ไปจากชั้นวาง ซึ่งในนั้นบรรจุคำพยากรณ์เกี่ยวกับตัวเขาเอาไว้ การต่อสู้ระหว่างแฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ จินนี่ เนวิลล์และลูน่ากับเหล่าผู้เสพความตายจึงปะทุขึ้นท่ามกลางกองปริศนา เมื่อภาคีนกฟินิกซ์ปรากฏตัวและช่วยชีวิตแฮร์รี่เอาไว้ การต่อสู้ที่เกิดขึ้นทำให้ซีเรียสพลาดท่าเบลลาทริกซ์และถูกฆ่าตายต่อหน้าแฮร์รี่ ในไม่ช้า...ดัมเบิลดอร์ก็มาถึงและต่อสู้กับโวลเดอมอร์อย่างสูสี

โวลเดอมอร์พยายามจะเข้าสิงร่างแฮร์รี่อีกครั้งภายหลังการต่อสู้สิ้นสุดลง และแฮร์รี่สามารถขจัดเขาออกไปจากใจได้สำเร็จในคราวนี้ ฟัดจ์และเหล่าพ่อมดแม่มดเดินทางมาถึงยังกระทรวงเพื่อที่จะพบถึงหลักฐานว่าโวลเดอมอร์ได้หวนกลับมาแล้ว เมื่อแฮร์รี่ปลอดภัยอยู่ในฮอกวอตส์ ดัมเบิลดอร์ได้เล่าความจริงเกี่ยวกับความพยากรณ์ที่หายไปให้แฮร์รี่ฟังว่าเขาเกิดมาเพื่อโค่นล้มเจ้าแห่งศาสตร์มืด และจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะอยู่รอด จะไม่มีทางที่สองคนนี้อยู่ร่วมกันได้ และเมื่อโวลเดอมอร์สร้างสัญลักษณ์บนตัวของเขา นั่นจะทำให้พวกเขามีพลังเท่าเทียมกันในท้ายที่สุด...

......................................................................

เล่มนี้อ่านแล้วจะรู้สึกได้ว่าอารมณ์ตัวละครเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาตลอด โดยเฉพาะแฮร์รี่ที่เริ่มโกรธคนรอบข้างและมีการใส่อารมณ์ไปในความพูดบ้างบางครั้ง แต่เจเคทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ได้แก่เกินวัยสักเท่าไร ด้วยอายุที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น จึงไม่แปลกที่ตัวละครจะอารมณ์รุนแรง รักแรงเกลียดแรง และนั่นคือจุดเด่นของนิยายเล่มนี้...

เนื้อเรื่องในเล่ม the Order of the Phoenix มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ปูพื้นไปสำหรับ 2 เล่มสุดท้ายค่อนข้างชัดเจน เราจะเห็นได้จากคำพยากรณ์ตอนท้ายที่กรุยทางอย่างสวยงามให้กับเล่มต่อๆไป คนอ่านจะเดาได้ว่าการปราบโวลเดอมอร์มันต้องไม่ง่ายแน่นอน และมันน่าจะมีอะไรมากกว่าการเปิดศึกกันตรงๆ พออ่านเล่มนี้จบแล้วจะรู้สึกลุ้นว่าเนื้อเรื่องเล่มต่อไปจะถูกกระแทกไปในทิศทางไหน และจะจบลงยังไง แต่เจเคก็ได้พิสูจน์แล้วว่าความคิดของเธออยู่เหนือจินตนาการของคนอ่านหลายล้านคนจริงๆ ไม่มีใครคาดเดาตอนจบได้ว่าเธอจะผูกเอาตำนานของสามพี่น้องเพฟเวอเรลล์เข้ามามีส่วนร่วมมากขนาดนี้ (ตรงจุดนี้แหละที่ทำให้เราขนลุกตอนอ่าน the Deathly Hallows มารอบนึงแล้ว)

จุดที่เราไม่ค่อยชอบก็คือ...การดำเนินเรื่องค่อนข้างอืดและช้า ถ้าเทียบสี่เล่มก่อนหน้า มีจังหวะที่รู้สึกหน่วงๆ ง่วงๆ ไม่มีแรงจูงใจที่จะอ่านต่อจนต้องหยิบหนังสือเล่มอื่นมาอ่านคั่น เราเลยคิดว่าเล่มนี้ไม่ได้รู้สึกว๊าวอะไรมากมายเท่าสี่เล่มก่อนหน้านี้เท่าไร แต่ถ้าคิดในแง่ที่ว่ามันคงไม่ยุติธรรมที่จะเอ่ยปากมาว่า...'เล่มนี้สนุกน้อยที่สุด' เรากลับคิดว่า...ถ้าไม่มีเล่มนี้ นิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ก็คงไม่สมบูรณ์ เพราะ the Order of the Phoenix คือสะพานแขวนเส้นใหญ่ที่จะทอดต่อไปยังบทสรุปส่งท้ายในอีกสองเล่มต่อไป

ตัวละครที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คงเป็น...โดโลเรส อัมบริดจ์ เรามีความรู้สึกที่ว่า...ทำไมเธอช่างน่าเกลียดและทุเรศขนาดนี้ เรานี่อยากจะเข้าไปบีบคอเธอจริงๆตลอดที่อ่านทั้งเล่ม เจเคดีไซน์คาแรคเตอร์ของโดโลเรสไม่ให้เลวร้ายจากสันดานและทะเยอทะยานเหมือนโวลเดอมอร์ แต่เธอทำให้โดโลเรสกลายเป็นหญิงแก่ที่แสดงกิริยาที่น่าหมั่นไส้ออกมา และสามารถที่จะเข้าถึงความรู้สึกของนักอ่านส่วนมากได้ เพราะคนแบบโดโลเรสนี่แหละ ที่เราสามารถพบเจอในชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน มันเป็นนิสัยคนใกล้ตัวที่เราล้วนแต่ชิงชัง จึงไม่น่าแปลกใจที่นักอ่านหลายคน(รวมทั้งเรา)จะซ้อนทับภาพของโดโลเรสกับคนในชีวิตจริงที่มีนิสัยใกล้เคียงกับเธอและก่อให้เกิดความเกลียดชังนักหนา

การสูญเสียในเล่มนี้ เจเคทำให้เรารู้สึกว่ามันคือการสูญเสียจริงๆ ไม่ใช่การเสียสละละทิ้งตัวละครเพื่อสร้าง impact ให้แก่นิยายตัวเอง หรือทำให้นิยายดูมีอะไรๆขึ้นมา เรารู้เลยว่าในช่วง time gap ระหว่างเล่ม 4 และเล่ม 5 เจเคต้องแอบไปซุ่มวางแผนการเล่าเรื่องใหม่แน่ๆ เพราะเราสัมผัสได้ว่าเล่มนี้เนื้อเรื่องมันละเอียดยิบดีจริงๆ

ปล.เราว่าฉากในกระทรวงเวทมนตร์ตอนท้ายเป็นฉากเดียวที่พีคที่สุดในหนังสือเล่มนี้ละนะ

คะแนน 9/10