Oct 13, 2015

Miss Peregrine's Home For Peculiar Children (Miss Peregrine’s Peculiar Children #1)



ชื่อเรื่อง Miss Peregrine's Home For Peculiar Children
จากชุด Miss Peregrine’s Peculiar Children
ผู้แต่ง Ransom Riggs
วรรณกรรมเยาวชน แฟนตาซี
สำนักพิมพ์ Quirk Books

เรื่องย่อ

A mysterious island. An abandoned orphanage. A strange collection of curious photographs.

A horrific family tragedy sets sixteen-year-old Jacob journeying to a remote island off the coast of Wales, where he discovers the crumbling ruins of Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children. As Jacob explores its abandoned bedrooms and hallways, it becomes clear that the children were more than just peculiar. They may have been dangerous. They may have been quarantined on a deserted island for good reason. And somehow—impossible though it seems—they may still be alive.

A spine-tingling fantasy illustrated with haunting vintage photography.

REVIEW

เจคอบคิดว่านิทานที่คุณปู่เล่าให้เขาฟังมาตลอดหลายปีเป็นเรื่องโกหกรวมถึงรูปถ่ายสมัยเก่าที่ในนั้นเป็นภาพของเด็กหญิงที่ลอยได้ เด็กชายที่มีผึ้งบินออกมาจากปาก และเด็กหญิงที่สามารถจุดไฟได้ด้วยมือเปล่า จนกระทั่งวันหนึ่งคุณปู่ของเขาก็ถูกฆ่าโดยฝีมือของอสุรกายที่ราวกับหลุดออกมาจากฝันร้ายของเจคอบ รวมถึงคำสั่งเสียสุดท้ายจากปากชายชรา นั่นทำให้เจคอบเริ่มกลายเป็นคนเสียสติในสายตาของครอบครัว ทำให้เขาต้องไปพบจิตแพทย์ ไม่ช้าเจคอบก็ถูกนำทางไปสู่การค้นพบความจริงบนเกาะแห่งหนึ่งที่ไร้ซึ่งความเจริญใดๆ และไฟฟ้าจะถูกตัดหลังจากสี่ทุ่มและความมืดจะเข้าปกคลุมทั้งเกาะ

บ้านเด็กกำพร้ารกร้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนเกาะแห่งนี้ เจคอบคิดว่าเขาเข้าใกล้ความจริงของคุณปู่มากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ไม่มีคนรอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดที่ทำลายบ้านเด็กกำพร้า จนกระทั่งเขาได้หลุดเข้าไปอีกห้วงเวลาหนึ่ง ปี 1940 เดือนกันยายน บ้านเด็กกำพร้าของมิสเพเรกรินตั้งโดดเด่นเป็นสง่าไร้รอยขีดข่วนใดๆ ในนั้นคือที่อยู่อาศัยของเด็กประหลาดที่มีความสามารถพิเศษแบบที่เจคอบเคยเห็นในรูปถ่ายของคุณปู่มาแล้วทั้งสิ้น และสิ่งที่น่าตกใจมากขึ้นไปอีกก็คือ เด็กพวกนี้ไม่มีวันโตเพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในลูปของเวลาที่จะรีเซ็ตกลับไปวันก่อนหน้าทุกครั้งที่หมดวัน เพื่อรักษาชีวิตและความเยาว์วัยของเด็กเหล่านี้เอาไว้

มนุษย์ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มปกติธรรมดาอย่างคนทั่วไป และกลุ่มที่มีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ และนั่นทำให้พวกเขาถูกขับไล่ออกจากพื้นที่อาศัยต่างๆมาตั้งแต่ครั้นอดีตกาล เจคอบมีความสามารถที่จะเห็นอสุรกาย นั่นทำให้ได้รู้ว่าสิ่งที่ฆ่าคุณปู่ของเขาไม่ใช่สัตว์ แต่มันคือฮอลโลว์ซึ่งกาลครั้งหนึ่งพวกมันเป็นมนุษย์ที่แสวงหาหนทางแห่งความเยาว์วัยและได้ใช้พลังอิมบรินในทางที่ผิด ผลลัพธ์ก็คือการโดนลงโทษและอยู่ในรูปลักษณ์อันน่าขยะแขยง เพียงถ้าพวกมันได้สูบชีวิตไปจากเด็กผู้มีความสามารถพิเศษไปมากพอ พวกมันจะกลายเป็นไวท์ได้ในที่สุด

เมื่ออันตรายคลืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ และมีคนตายในหมู่บ้านที่เจคอบพักอาศัยอยู่ เด็กๆต้องสืบหาความจริงว่านั่นคือฝีมือของฮอลโลว์หรือไวท์ ความจริงถูกเปิดเผยก็คือจิตแพทย์ที่เจคอบพบมาโดยตลอดอยู่เบื้องหลังการเดินทางครั้งนี้ของเขา และการสะกดรอยตามเจคอบทำให้พวกฮอลโลว์และไวท์ได้พบกับลูปของมิสเพเรกริน เมื่อมิสเพเรกรินถูกลักพาตัวไป เจคอบและเอ็มม่าซึ่งเป็นอดีตคนรักของคุณปู่เจคอบหลังจากที่ปู่ตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอกหลังสงครามและถูกฆ่าตาย ได้ร่วมมือกันต่อสู้เพื่อเอามิสเพเรกรินกลับคืนมา แต่เด็กๆก็รู้ว่ามันสายไปแล้วเมื่อลูปที่มิสเพเรกรินสร้างขึ้นมาไม่ถูกรีเซ็ตกลับไปยังวันก่อนหน้านี้ และบ้านเด็กกำพร้าถูกระเบิดจากสงครามทำลายจนย่อยยับ พวกเขาต้องเดินหน้าต่อไป ไม่มีทางถอยกลับ

มิสเพเรกรินติดอยู่ในร่างของนก เด็กๆจากบ้านเด็กกำพร้าจำต้องออกเดินทางออกจากเกาะและทิ้งลูปเวลาที่พวกเขาอาศัยอยู่มาตลอดหลายปีเอาไว้เบื้องหลังเพื่อตามหาเหล่าอิมบรินที่ถูกลักพาตัวไป และแผนการณ์ครั้งนี้ของเหล่าฮอลโลว์นั้นจะก่อให้เกิดความวินาศยิ่งกว่าครั้งที่แล้วอย่างมากเลยทีเดียว ...

..................................................

เรื่องย่อกับหน้าปกชวนให้เข้าใจผิดมากว่าเนื้อเรื่องจะเป็นแนวผีในบ้านเด็กกำพร้าไรงี้ จนเราคิดว่าหนังสือจะออกแนว Horror เหมือน The Woman in Black หรือ AHS Freak Show แต่พออ่านจริงแล้วมันไม่ใช่เลย หนังสือเล่มนี้เราว่าเหมือนหนังเรื่อง X-Men ซะมากกว่า เนื้อเรื่องมีทั้งกลิ่นอายแบบ Sci-fi อยู่นิดๆ Historical อยู่หน่อยๆ ส่วนมากที่มาเต็มเลยก็คือ ความเป็น paranormal นี่แหละ แต่แท้จริงแล้วแก่นของเรื่องก็คือ...สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ การต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว การติดอยู่ในลูป (เหมือนกับหนังเรื่อง Edge of Tomorrow เป๊ะๆ)

ฟังแล้วมันดูยิ่งใหญ่ เพราะผู้แต่งทำให้เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆหลังจากอ่านหนังสือเรื่องนี้จบ ต้องบอกก่อนเลยว่าเราไม่ค่อยจะเจอหนังสือที่เราถูกใจถึงขนาดให้ 5 ดาวมากเท่าไหร่สำหรับการอ่านในปีนี้ และเล่มนี้มันเป็นอะไรที่โดดเด่นมากๆในความรู้สึกของเขา ตั้งแต่ทักษะการเล่าเรื่องของริกส์จนถึงการบิดเนื้อเรื่องจนทำให้คนอ่านหัวทิ่มหัวตำกันไปข้าง ความแปลกใหม่บนความธรรมดาซึ่งทำให้เราชอบมาก จนเมื่อได้อ่านบทแรกแล้วเราก็รู้สึกได้เลยว่าชื่อ Ransom Riggs ต้องอยู่ในทำเนียบนักเขียนที่เราโปรดปรานไปอีกนานแน่ๆ

เราชอบการหลอกคนอ่านให้คิดว่าหนังสือจะออกแนวตามล่าหาความจริงในบ้านผีสิง และผู้แต่งหาจุดมาเซอร์ไพรส์คนอ่านได้เรื่อยๆ จับความสนใจตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย ถึงแม้ว่าบรรยากาศความลึกลับในตอนต้นมันเริ่มจางหายไปเมื่อความจริงเริ่มเปิดเผย แต่มันยังมีพ้อยท์ที่ทำให้เราต้องการอ่านต่อ อยากรู้มากกว่านี้ ขนาดอ่านจบแล้วต้องหยิบเล่มสองขึ้นมาทันที ภาษาที่ริกส์ใช้โดนใจเรามาก มันสวยในแบบของมัน แต่เข้ากันดีในบรรยากาศหม่นๆ เย็นๆ ของเกาะแห่งหนึ่ง ทำให้เรานึกถึงตอนหนึ่งใน the series of unfortunate events มากๆ

ไม่รู้จะพูดอะไรดีอีกแล้วสำหรับเล่มนี้ สมใจอยากมาก หลังจากกระหาย YA มันส์ๆมาหลายเดือน เจอเล่มนี้เข้าไปถึงกับนั่งยิ้มอยู่คนเดียว แนะนำเลยสำหรับคนที่ชอบอ่าน YA paranormal ลึกลับๆ มีความเป็น Urban Fantasy นิดๆ เราเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ต้องค่อนข้างตอบโจทย์แน่ๆ ...

คะแนน 9.5/10