Mar 3, 2021

The Desolations of Devil's Acre (Miss Peregrine's Peculiar Children #6)



ชื่อเรื่อง The Desolations of Devil's Acre
จากชุด Miss Peregrine’s Peculiar Children
ผู้แต่ง Ransom Riggs
วรรณกรรมเยาวชน แฟนตาซี
สำนักพิมพ์ Dutton Books for Young Readers

เรื่องย่อ

The fate of peculiardom hangs in the balance in this epic conclusion to the Miss Peregrine's Peculiar Children series.

The last thing Jacob Portman saw before the world went dark was a terrible, familiar face.

Suddenly, he and Noor are back in the place where everything began - his grandfather's house. Jacob doesn't know how they escaped from V's loop to find themselves in Florida. But he does know one thing for certain: Caul has returned.

After a narrow getaway from a blood-thirsty hollow, Jacob and Noor reunite with Miss Peregrine and the peculiar children in Devil's Acre. The Acre is being plagued by desolations - weather fronts of ash and blood and bone - a terrible portent of Caul's amassing army.

Risen from the Library of Souls and more powerful than ever, Caul and his apocalyptic agenda seem unstoppable. Only one hope remains - deliver Noor to the meeting place of the seven prophesied ones. If they can decipher its secret location.

REVIEW

เจคอบและนูร์รอดชีวิตจากลูปที่กำลังจะพังทลายมาได้อย่างไม่น่าน่าเชื่อ พวกเขามาโผล่ที่บ้านปู่ของเจคอบซึ่งที่นั่นพวกเขาต้องต่อสู้กับไวท์และฮอล์โลว์จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด มีกำลังหาทางกลับไปยังเดวิลเอเคอร์ พวกเขาก็ได้พบกับแอดดิสันที่มาช่วยพากลับไปได้

เดวิลเอเคอร์กำลังประสบวิกฤติบางอย่าง ขี้เถ้าโปรยลงมาจากฟากฟ้ารวมไปถึงปรากฏการณ์น่าฉงนอื่นๆ อีก แต่เมื่อมิสเพเรกรินได้ยินเรื่องเล่าจากปากของเจคอบว่าคอลกลับมาแล้ว ข้อสงสัยเหล่านั้นก็กระจ่างในที่สุด พวกเขาต้องเตรียมรับมือภัยร้ายที่กำลังคุกคามโลกของคนประหลาดอีกครั้ง และเหล่าอิมบรินก็เรียกประชุมกันทันที

เจคอบเล่าเรื่องให้เพื่อนๆ ของเขาฟัง และเมื่อมิสเพเรกินนัดประชุมคนประหลาดทุกคนในเดวิลเอเคอร์เพื่อแจ้งถึงภัยร้าย คอลก็ปรากฏกายขึ้นเป็นภาพลวงตา นั่นสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกๆ คน คอลหมายมั่นจะเอาชีวิตของเจคอบ นูร์และเหล่าอิมบริน นั่นทำให้เจคอบเกือบถูกสังหาร มิสเพเรกรินและอิมบรินคนอื่นๆ ได้คุยกันว่าเขาจะเสริมสร้างเกราะป้องกันเดวิลเอเคอร์ให้รอดพ้นจากเงื้อมือของคอล ระหว่างที่ต้องรออิมบรินอีกสามคนซึ่งจะตามมาสมทบกับเด็กประหลาดอีกหกคนตามคำทำนาย

ซิกริดได้เบาะแสเกี่ยวกับสายโทรศัพท์ทั้งหกที่ต่อตรงไปแจ้งข่าวกับอิมบรินซึ่งอาจจะคุ้มครองเด็กประหลาอีกหกคนเอาไว้ และวีที่อาจจะรู้ตำแหน่งนัดพบที่คนในสายบอกก็ได้ตายไปเสียแล้ว แต่นั่นใช่ว่าจะดึงข้อมูลมาไม่ได้เมื่อพวกเขามีอีน็อชที่สามารถปลุกชีพคนตายได้อยู่ เหลือแต่เพียงไปเอาศพของวีที่บ้านของปู่เจคอบมาให้ได้ ระหว่างที่มิสเพเรกรินเดินทางไปรับศพมา เจคอบ นูร์และมิลลาร์ดก็เดินทางไปหาสหายของมิลลาร์ดเพื่อขอให้เขาซ่อมเครื่องมือที่วีใช้ดีดเจคอบและนูร์ออกมาจากลูป

ศพของวีที่อีน็อชปลุกขึ้นมาแทบจะจำใครไม่ได้ มีเพียงนูร์ที่เข้าถึงเธอและวีก็เล่านิทานก่อนนอนให้นูร์ฟัง ซึ่งนั่นไม่ใช่นิทานธรรมดาแต่เป็นเบาะแสที่จะพาพวกเขาไปสู่ที่ซ่อนของเด็กประหลาดตามคำทำนายอีกหกคนที่เหลือ ทันทีที่รู้พิกัดพวกเขาก็เตรียมออกเดินทางทว่ากลับถูกฮอล์โลว์สายพันธุ์ใหม่ที่แข็งแกร่งและน่าสะพรึงกว่าเมื่อก่อนโจมตี เจคอบเกือบเอาชีวิตไม่รอด เขาควบคุมฮอล์โลว์ตนนี้ไม่ได้แต่มันกลับพยายามควบคุมเขาแทน โชคดีที่ฟีโอน่าช่วยเอาไว้ไม่อย่างนั้นเจคอบคงแย่กว่านี้

เหล่าอิมบรินเร่งรุดถักทอเกราะป้องกันเดวิลเอเคอร์ คอลปรากฏกายในภาพลวงตาข่มขู่พวกเขาทุกคนอีกครั้ง กระดาษที่เป็นหลักฐานบ่งบอกว่าอิมบรินหลอกลวงเหล่าคนประหลาดปลิวว่อน กล่าวว่าอิมบรินได้ตกลงทำให้เหล่ากลุ่มคนประหลาดของอเมริกาเป็นอิสระแลกกับการสงบศึก พวกเขาจะไม่ผูกติดกับลูปต่อไปเหมือนกับคนอื่นๆ ที่นี่และนั่นก็ยิ่งทำให้คนประหลาดลุกฮือขึ้นมามากยิ่งขึ้น การหารือนำไปสู่แผนการครั้งใหม่ที่จะกำจัดคอล มิลลาร์ดพบเส้นทางที่จะพาไปยังจุดนัดพบซึ่งเป็นลูปที่ล่มสลายไปแล้ว การเดินทางนั้นจึงเต็มไปด้วยอันตรายเพราะเจคอบและคนอื่นๆ ต้องฝ่าแนวหน้าของสงครามไปให้ได้

เมื่อไปถึง เจคอบและนูร์พบว่าเด็กประหลาดในคำทำนายทั้งเจ็ดมีพลังแบบเดียวกันนั่นก็คือการกลืนกินแสงสว่าง แต่ข่าวร้ายก็มาถึงเมื่อเด็กประหลาดทั้งเจ็ดเหลือรอดเพียงแค่สามคนเท่านั้น โชคดีที่ทำนายบ่งชี้ว่าต้องเพียงแค่หนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ป้องกันความผิดพลาด แต่แล้วเมอร์เนาก็บุกมาถึงในลูปพร้อมกับฮอล์โลว์ แต่โฮเลชิโอ ฮอล์โลวของเฮชที่บัดนี้กลายเป็นไวท์ได้เข้ามาช่วยเจคอบเอาไว้ พวกเขาต้องฝ่าดงกระสุนปืนเพื่อออกไปจากลูปแห่งนี้ แต่เมื่อกลับมาถึงลอนดอนในยุคปัจจุบัน เจคอบและเพื่อนๆ ก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวที่สุด... คอล

คอลตามล่าพวกเด็กประหลาดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด พวกเขาตัดสินใจแบ่งกลุ่ม เจคอบมุ่งหน้าไปยังเรือที่บรรทุกฮอล์โลว์สายพันธุ์ใหม่ หากเขาหาทางทำลายไม่ได้ เดวิลเอเคอร์อาจต้องรับศึกหนัก เจคอบใช้มาร์เธอร์ดัสผูกกับระเบิดทำให้เขาและคนอื่นๆ สลบไป และเจคอบสามารถควบคุมฮอล์โลว์ทั้งหมดได้ในที่สุด แต่การออกจากเรือนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อคอลมาสกัดพวกเขาเอาไว้ เกิดการต่อสู้ขึ้นและคอลก็ล่าถอยเพื่อไปบุกเดวิลเอเคอร์แทน เจคอบและคนอื่นๆ รีบตามไปเพื่อยับยั้งไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่านี้

เจคอบควบคุมฮอล์โลว์สายพันธุ์ใหม่กำจัดไวท์ได้หมด เขาเองก็สูญเสียกำลังพลไปเยอะเช่นเดียวกัน เหล่าอิมบรินตัดสินใจล่าถอยเมื่อคอลปรากฏกายและรู้ว่าพวกเขารับมือไม่ไหว พวกเขากำลังจะเปิดลูปสำหรับหลบหนี แต่นูร์กลับไม่ยอมแพ้ เหลือเธอเพียงคนเดียวในการกลืนกินแสงสว่างและเผชิญหน้ากับคอล เมื่อนูร์ทิ้งจดหมายไว้ให้เจคอบที่เพิ่งได้พานพบกับเบนธัม ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามที่อีกฝ่ายว่าเอาไว้นั่นก็คือเดินทางไปยังห้องสมุดแห่งจิตวิญญาณและกลืนกินดวงวิญญาณที่เก็บอยู่ในนั้นเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งทัดเทียมกับคอล

คอลตามไปถึงห้องสมุดและขวางทางเจคอบเอาไว้ เจคอบกลายเป็นฮอล์โลว์และต่อสู้กับคอล เปิดโอกาสให้นูร์กลืนกินแสงจากตัวเขาจนคอลพ่ายแพ้ในที่สุด เมื่อห้องสมุดถล่มลงมา เจคอบและคนอื่นๆ ก็หลบหนีและนูร์ก็ดึงแสงสว่างของดวงวิญญาณออกมาจากร่างของเขาทำให้เจคอบกลับกลายเป็นปกติที่สุด พวกเขาตื่นมาอีกครั้งที่บ้านปู่ของเจคอบ ภายหลังพบว่าเอ็มม่าได้รับนาฬิกาพกของวีมาจากมิลลาร์ดเพราะดีดตัวทุกคนออกมาจากลูปที่กำลังพังทลายได้ เจคอบต้องบอกลาพ่อแม่ของเขาเพื่อไปอยู่กับเหล่าคนประหลาด ที่นั่นมิสเพเรกรินได้ทำการรีเซ็ตทำให้เด็กประหลาดทุกคนเป็นอิสระ ไม่ผุกติดอยู่กับลูปอีกต่อไป

มิสเพเรกรินพาเด็กๆ ของหล่อนไปยังลูปแห่งหนึ่ง ที่นั่นพวกเขาได้พบกับเกาะ Cairnholm ซึ่งบ้านที่แท้จริงของพวกเขาตั้งอยู่ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพียงแต่เชื่อมต่อกับแพนลูปติคอนเอาไว้ทำให้สามารถเดินทางไปไหนก็ได้ตามที่ใจต้องการ

..................................................................

ยิ่งใหญ่ น่าติดตามจนบทสุดท้าย อ่านแล้วได้ฟีล Harry Potter เล่ม 7 มากๆ มีฉากหลายฉากที่แรนซัม ริกส์เขียนออกมาได้ดีและทำให้คนอ่านอย่างเรามีอารมณ์ร่วมไปด้วยอย่างมาก ฉากหนีตายบ้านคุณปู่ช่วงบทแรกๆ เราลุ้นระทึกจนวางหนังสือไม่ลง ฉากฝ่าดงกระสุนแล้วขับรถถังก็เดือดใช่เล่น เหตุการณ์ในเนื้อเรื่องเล่มนี้เต็มไปด้วยแอ็คชั่นที่ดูดคนอ่านให้จมลงไปในโลกของเหล่าเด็กประหลาดอีกครั้ง

ตัวร้ายในเล่มนี้ถือว่าปราบยากพอสมควรทำให้กว่าจะจบได้เล่นเอาเราลุ้นจนเหนื่อย แต่ก็ถือว่าเป็นตอนจบที่สมน้ำสมเนื้อกับเนื้อเรื่องทั้งหมดที่ดำเนินมา 6 เล่ม จบไม่ค้าง แต่ยังคงทิ้ง conflict ใหญ่เอาไว้ซึ่งถ้านักเขียนจะกลับมาเขียนซีรีส์ชุดนี้ต่อก็มีประเด็นให้หยิบมาเล่าอีก และดูจากโพสต์ของแรนซัน ริกส์ใน instagram แล้ว เราว่ามีโอกาสเขียนต่อ แต่อาจจะไม่ใช่ในเร็วๆ นี้

เราชอบที่ทุกอย่างในหนังสือเล่มนี้มันไม่ได้ง่าย กว่าตัวละครจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ยากลำบากมาได้ เลือดตาแทบกระเด็น แทบไม่มีทางลัดหรือมีคนมาช่วยให้รอดพ้นไปได้ง่ายๆ ทำให้เราเห็นพัฒนาของตัวละครหลายตัว และอีน็อชก็ยังเป็นตัวละครฝีปากจัดจ้านที่เราชอบมากๆ เหมือนเคย 

น่าเสียดายที่เจคอบกับนูร์พัฒนาความสัมพันธ์มาได้ไม่เท่าไร หนังสือก็จบเสียแล้ว ก็อย่างว่า... ซีรีส์ชุดนี้ หลังๆ เราว่าไม่ได้เน้นขายความรักวัยรุ่นเท่าไร เราเลยรู้สึกเฉยๆ กับคู่นี้ แต่พอฮอเรซเจอจูเลียสนี่ความวายมาทันที เราคิดไม่ถึงมากๆ มุ้งมิ้งๆ นั่งซบไหล่จับมือกัน ตอนบาดเจ็บก็ดูแลกันไม่ห่าง ถือว่าน่ารักและคลายความตึงเครียดของเนื้อเรื่องในช่วงนั้นไปได้บ้าง

อย่างที่บอกว่าเราชอบซีรีส์ชุดนี้มากๆ เนื่องด้วย mood & tone ที่ผสมผสานระหว่างวรรณกรรมเยาวชนกับความสยองขวัญแบบคลาสสิค ภาพถ่ายวินเทจในเล่มก็ยิ่งทำให้อารมณ์ตรงนั้นชัดยิ่งขึ้น เราหลงเสน่ห์การเล่าเรื่องในเล่มแรกของชุดที่ทุกอย่างเป็นปริศนาคลุมเครือไปหมด ทำให้เราระแวงตลอดว่าตกลงมันนิยายสยองขวัญหรือว่านิยายแฟนตาซีกันแน่ เรายังจำความรู้สึกตอนอ่านเล่มแรกได้อยู่เลยจนถึงทุกวันนี้ แต่พอความจริงเปิดเผยออกมา ทิศทางการดำเนินเรื่องก็ชัดเจนขึ้น เล่มสองเต็มไปด้วยความลุ้นระทึกใจเต้นตึกๆ และเล่มสามก็ยิ่งใหญ่อลังการ ปิดไตรภาคแรกได้อย่างสวยงาม

พอมาเล่มสี่ แรนซัม ริกส์เล่นประเด็นใหม่ ขยายโลกให้กว้างขึ้น เราว่าเล่มนี้ค่อนข้างเอื่อย ปูพื้นนาน มาสนุกเอาตอนท้ายๆ เล่มห้าเล่มเห็นภาพรวมชัดเจนขึ้นว่าไตรภาคหลังจะดำเนินเรื่องไปในทิศทางไหน ตัวละครนูร์มีบทบาทสำคัญอย่างแน่นอน พอมาเล่มหกซึ่งเป็นเล่มสุดท้าย อารมณ์ถือว่าคล้ายกับเล่มสามมากๆ ทุกคนหนีตายซัดพลังใส่กันเต็มที่ เจคอบไม่ได้เก่งเวอร์ พลังของเขามีขีดกำจัดและแทบจะเป็นรองตัวร้ายตลอดทั้งเรื่องด้วยซ้ำ และตรงจุดนี้แหละที่เราว่ามันทำให้หนังสือเล่มนี้สนุก แต่ด้วยความที่มันสนุกอยู่ทั้งเรื่องนี่แหละ กราฟการอ่านของเรามันเลยแตะเพดานอยู่แทบตลอดเวลา พอเจอฉากไคลแมกซ์ตอนท้ายเรื่องมันก็เลยเฉยๆ ไปซะงั้น ไม่ได้รู้สึกว่ามันว้าวหรือยิ่งใหญ่อะไรเทียบเท่ากับฉากอื่นๆ ในเรื่อง

เราอ่านเจอจุดที่ทำให้เราสะดุดอยู่สองสามจุด ไม่รู้ว่าพลาดที่นักเขียนหรืออะไร แต่เรื่องการอีดิทเราว่างานหยาบไปหน่อย นั่นคือตัวละคร x ต้องเดินทางไปที่อื่นในช่วงเวลานั้นๆ หรืออยู่ที่้บ้านนอนพักผ่อน แต่พอขึ้นฉากใหม่ที่เจคอบกับคนอื่นที่เหลือต้องย้ายสถานที่ไปอีกที่หนึ่งกลับมีตัวละคร x เข้าฉากร่วมบทสนทนาหน้าตาเฉย แล้วต่อมาเนื้อเรื่องก็ตัดกลับไปที่ตัวละคร x เพิ่งกลับมาจากการทำภารกิจหรือเพิ่งตื่นนอน บ่งชี้ว่าตนไม่ได้อยู่ในซีนเมื่อครู่ คือเราพลิกย้อนไปย้อนมาหลายครั้งมาก ตอนแรกคิดว่าอ่านผิด เราเจอฉากฮอเรซเข้านอน แล้วเจคอบกับคนอื่นไปคุยกับอิมบรินที่อื่น ตอนนั้นฮอเรซก็เข้าไปร่วมคุยออกรสออกชาติ พอเจคอบกลับบ้านถึงเพิ่งมาแจ้งข่าวให้กับฮอเรซที่เพิ่งตื่นนอนได้ฟัง เราก็ทำได้เพียงทำตาเบลอ มองข้ามว่าสิ่งๆ นี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน 555

สรุป... The Desolations of Devil's Acre ยังรักษามาตรฐานของซีรีส์ชุดนี้เอาไว้ได้อย่างดี ความสนุกเราให้พอๆ กับ Library of Souls ซึ่งปิดแต่ละไตรภาคได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ดำเนินเรื่องค่อนข้างกระชับ ไม่ค่อยแช่อยู่ที่เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งนานๆ แอ็คชั่นลุ้นระทึก ดราม่าเล็กน้อยพอมาทำให้เนื้อเรื่องกลมกล่อม มีเซอร์ไพรส์คนอ่านเรื่อยๆ แต่ไม่ได้หักมุมจนหัวทิ่มแบบเล่มแรกๆ แต่ก็ยังคุ้มค่าที่จะหยิบมาอ่าน ลำพังแค่รูปเล่ม ภาพถ่ายก็คุ้มแล้ว คอนิยาย YA ที่ชอบความสยองขวัญกับกลิ่นอายวินเทจ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

คะแนน 9/10

No comments:

Post a Comment