Mar 9, 2021

A ​Court of Silver Flames (A Court of Thorns and Roses #4)



ชื่อเรื่อง A Court of Silver Flames
จากชุด A Court of Thorns and Roses
ผู้แต่ง Sarah J. Maas
วรรณกรรมเยาวชน แฟนตาซี
สำนักพิมพ์ Bloomsbury USA Childrens

เรื่องย่อ

Nesta Archeron has always been prickly-proud, swift to anger, and slow to forgive. And ever since being forced into the Cauldron and becoming High Fae against her will, she's struggled to find a place for herself within the strange, deadly world she inhabits. Worse, she can't seem to move past the horrors of the war with Hybern and all she lost in it.

The one person who ignites her temper more than any other is Cassian, the battle-scarred warrior whose position in Rhysand and Feyre's Night Court keeps him constantly in Nesta's orbit. But her temper isn't the only thing Cassian ignites. The fire between them is undeniable, and only burns hotter as they are forced into close quarters with each other.

Meanwhile, the treacherous human queens who returned to the Continent during the last war have forged a dangerous new alliance, threatening the fragile peace that has settled over the realms. And the key to halting them might very well rely on Cassian and Nesta facing their haunting pasts.

Against the sweeping backdrop of a world seared by war and plagued with uncertainty, Nesta and Cassian battle monsters from within and without as they search for acceptance-and healing-in each other's arms.

REVIEW

เนสต้าพยายามลืมฝันร้ายตอนที่เธอถูกจับโยนเข้าไปในเดอะคอลดรันแล้วกลายเป็นไฮเฟย์ หลังจากสงครามกับคิงไฮเบิร์นจบสิ้น ฝันร้ายไม่ได้จบตาม เธออาศัยอยู่กับมัน พยายามกดพลังในส่วนลึกเอาไว้ ปลีกตัวออกห่างจากทุกคน มีเพียงการเสาะแสวงหาความสนุกอย่างฉาบฉวยเท่านั้นที่ทำให้เธอมีชีวิตผ่านไปในแต่ละคืนได้ กระทั่งวันที่แคสเซียนมาเคาะประตูห้องของเธอ...

เขาพาเธอไปพบกับเฟย์เรอที่หมดความอดทนกับเนสต้าและส่งเธอไปฝึกกับแคสเซียนนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป และหากเนสต้าไม่ยอมทำตาม เธอจะต้องถูกเนรเทศไปยังดินแดนมนุษย์ที่ไม่เหลืออะไรไว้ให้กับเธอแล้ว ทางด้านแคสเซียนเองก็มีงานไหว้วานริแซนด์ที่ต้องทำ เกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นระหว่างเหล่าราชินีมนุษย์และเหล่าเฟย์บางกลุ่ม ดังนั้นแคสเซียนจึงถูกส่งไปสืบเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้


การเดินทางไปพบกับวาสซาทำให้แคสเซียนรู้ว่าไบรอลิน หนึ่งในราชินีที่แค้นเนสต้าที่ทำให้หล่อนกลายร่างเป็นไฮเฟย์เช่นเดียวกันแต่อยู่ในร่างของหญิงชรา ไบรอลินกำลังวางแผนลับๆ กับโคชเชย์ พี่ชายของโบนคราฟเวอร์ โคชเชย์ถูกกักขังอยู่ที่ทะเลสาบและรอวันที่จะได้เป็นอิสระอีกครั้ง และแห่งแผ่นดินตกอยู่ในสภาวะสงคราม เขาจะอาศัยจังหวะนี้ในการขึ้นปกครอง เอริสที่แคสเซียนแค้นนักหนาอยู่ที่นั่นกับเขาและบอกให้แคสเซียนร่วมมือกันเพราะเขาเองก็มีข้อมูลสำคัญเรื่องที่บิดาของตนเป็นพันธมิตรกับไบรอลินจนกระทั่งกองทหารของเขาหายไปอย่างเป็นปริศนา

การฝึกของเนสต้ากับแคสเซียนดูเหมือนจะไม่คืบหน้าเลย หล่อนทำให้เขาอับอายต่อหน้านักรบคนอื่นๆ บางวันแคสเซียนจึงไม่อยากพูดคุยกับเนสต้า หลบหน้าเธอ กระทั่งเขาคิดถึงวิธีการหนึ่งขึ้นมาได้นั่นก็คือการยื่นข้อเสนอแลกกันเธอ เขาจะยอมทำอะไรก็ได้เป็นการแลกเปลี่ยนหากเนสต้ามอบหนึ่งชั่วโมงของการฝึกฝนให้กับเขา แน่นอนว่าเธอยอม หลังจากนั้นเป็นต้นมา... การฝึกของเนสต้าก็ดำเนินไปเรื่อยๆ แถมงานในห้องสมุดทำให้เนสต้ารู้จักกับเพื่อนใหม่ กวินเน็ธ และความมืดมิดอันน่ากลัวที่อยู่เบื้องล่างก็ยังตามหลอกหลอนเนสต้าทุกครั้งที่เธอจ้องมองลงไป

แรงดึงดูดระหว่างเนสต้าและแคสเซี่ยนนั้นยากเกินจะต้านทาน และเธอก็ยอมจำนน ทำให้เขาปลดปล่อยในมือของเธอระหว่างที่เนสต้าไม่พานพบความสุขสม แคสเซี่ยนติดค้างเธอ ทางด้านแอซเรียลเองก็สืบจนได้เรื่องมา ไบรอลินร่วมมือกับโคชเชย์เพื่อตามหาเดรดโทรฟ สิ่งของสามอย่างที่เดอะคอลดรันได้เสกสร้างขึ้นมาและหายสาบสูญไป พลังนั้นช่างน่ากลัว หน้ากากที่คืนชีพคนตาย ฮาร์ปที่สามารถเปิดประตูได้ทุกบาน แม้แต่ประตูมิติระหว่างโลก และมงกุฏที่ทำให้บงการใครก็ได้ เนสต้าและอีเลนคือเครื่องมือที่จะใช้ตามหาสิ่งของเหล่านี้ให้พบก่อนไบรอลิน ระหว่างที่เจรจาและทะเลาะกัน เฟย์เรอก็เปิดเผยแก่ทุกคนว่าเธอกำลังตั้งท้อง ซึ่งสร้างความปิติเป็นอย่างมาก และเฟย์เรอก็มาบอกกับเนสต้าทีหลังว่าลูกของเธอเป็นลูกชาย

เนสต้าชักชวนผู้หญิงคนอื่นมาฝึกกับแคสเซียนได้ทีละคนสองคน แคสเซียนมอบความรุ่มร้อนให้แก่เนสต้าและเมื่อเธอพยายามใช้พลังในการตามหาหน้ากาก ความกลัวทำให้เธอสูญเสียการควบคุมพลัง ริแซนด์เข้ามาช่วยเอาไว้ระหว่างที่เนสต้นปลดปล่อยเพลิงเย็นสีเงินออกมา พลังของเนสต้านั้นคือความตายที่ทุกคนต่างหวาดกลัว แคสเซียนอยู่เฝ้าเธอตลอดทั้งคืนนั้น ข่าวร้ายจากริแซนด์ว่าลูกชายของเขาที่อยู่ในท้องของเฟย์เรอนั้นมีปีก และนั่นอาจทำให้การคลอดแลกมาด้วยชีวิตของคนเป็นแม่ นั่นทำให้เขาสรรหาหนทางที่จะทำให้คู่ของตนปลอดภัย

ในที่สุดเนสต้าก็ระบุตำแหน่งหน้ากากได้ มันซ่อนอยู่ในห้วยแห่งหนึ่งซึ่งบรรยากาศนั้นเศร้าหมองและเต็มไปด้วยความตาย แอซเรียลถูกโจมตีที่ปีก แคสเซียนต้องทิ้งเนสต้าเอาไว้คนเดียวระหว่างไปช่วยเขาและระหว่างนั้นก็ถูกเคลพี สิ่งมีชีวิตใต้น้ำลากลงไปเพื่อกัดกินเนื้อ เนสต้าสู้สุดตัวและหน้ากากก็เรียกร้องเธอให้เข้าไปหา เมื่อหล่อนได้มาไว้ในครอบครอง กองทัพความตายก็กำจัดเคลพีตนนั้น แคสเซียนและแอซเรียลมาเห็นเนสต้าที่ควบคุมกองทัพคนตายได้จึงโค้งคำนับแก่เธอ

แคสเซียนพาร่างเนสต้าที่ไร้สติกลับมาและนำตัวทหารทั้งสองนายที่จับได้เพื่อไปสอบปากคำเพื่อที่จะพบว่าพวกเขาถูกสะกดด้วยอะไรบางอย่างที่เหนือจากมนต์ธรรมดา เนสต้าฟื้นขึ้นมาและขึ้นเตียงกับแคสเซียนอย่างดุเดือด หลังจากนั้นแคสเซียนก็พาเนสต้าไปหาช่างตีเหล็กเมื่อเนสต้าอยากเรียนรู้กระบวนดาบ ที่นั่นเธอได้หลอมอาวุธขึ้นมาสามอย่างและนอกจากนั้นเมื่อกลับมาแล้วเนสต้ายังได้เรียนการฝึกสมาธิแบบวัลคีรีอีกด้วย แต่ไม่นาน... ช่างตีเหล็กคนเดิมก็มาหาริแซนด์พร้อมทั้งบอกว่าอาวุธที่เนสต้าตีขึ้นมานั้นต้องคำสาป

พลังของเนสต้าสร้างอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงขึ้นมา และผู้ที่ครอบครองมันอาจจะมีอำนาจเหนือสรรพสิ่งดังเช่นไฮคิงในอดีต แอมเรนโน้มน้าวให้ริแซนด์ใข้พลังจากมันแต่เขาปฏิเสธ และเมื่อแคสเซียนบอกเรื่องนี้แก่เนสต้า เธอโมโหมากที่ทุกคนตัดสินเรื่องนี้กันลับหลังเธอ เธอไปหาแอมเรนที่โหวตให้ปิดเรื่องนี้จากเนสต้า กล่าวหาว่าหล่อนทรยศเธอ กระทั่งเฟย์เรอมาถึง เนสต้าก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเรื่องที่ริแซนด์ปิดบังเกี่ยวกับเด็กในท้องซึ่งจะฆ่าเฟย์เรอตอนคลอดและก็ไม่มีใครรู้วิธีที่จะยับยั้งมันได้เลย โทสะของริแซนด์ทำให้แคสเซียนต้องพาเนสต้าหนีมายังหุบเขาแห่งหนึ่ง เธอไม่พูดไม่เจอตลอดการเดินทางครั้งนี้

กระทั่งถึงปลายทาง เนสต้าก็ระเบิดอารมณ์ออกมา เธอร้องไห้ คร่ำครวญถึงสิ่งผิดพลาดที่ได้ทำลงไปทั้งหมด แคสเซียนอยู่เคียงข้างและปลอบโยนเธอ เขาไม่รู้มาก่อนว่าเสียงฟืนแตกทำให้เนสต้านึกถึงเสียงของพ่อเธอตอนถูกคิงไฮเบิร์นหักคอ เมื่อกลับมา... เนสต้าก็เข้าร่วมการขับขานร้องเพลงซึ่งกวินชักชวนเธอ การได้รับฟังบทเพลงทำให้เนสต้าจมดิ่งโดยไม่รู้ตัว เธอเห็นที่ซ่อนของฮาร์ปในที่สุด โดยเฉพาะตอนนี้ที่ทุกคนรู้แล้วว่าไบรอลินได้ครอบครองมงกุฏเอาไว้แล้ว เมื่อไม่มีเวลาเหลือ เนสต้าและแคสเซียนจึงเดินทางสู่เดอะพริซัน คุกซึ่งคุมขังสิ่งมีชีวิตอันเก่าแก่และสามานย์เอาไว้

เนสต้าถือครองฮาร์ปได้ในที่สุด พลังของมันเรียกร้องให้เธอเข้าไปหา ทำให้เห็นภาพของไบรอลินบนบังลังงก์จากจิตที่เชื่อมต่อเพราะฝ่ายนั้นก็ถูกสร้างจากเดอะคอลดรันเช่นเดียวกันกับเธอ เนสต้าและแคสเซียนรีบออกมาอย่างว่องไวแต่แลนติส ศัตรูตัวฉกาจของแคสเซียนกลับถูกปลดปล่อยออกมาจากที่คุมขังเสียแล้ว การต่อสู้กับแลนติสทำให้แคสเซียนเกือบตาย เนสต้ากลับมาช่วย ใช้ดาบที่เธอสร้างขึ้นมาต่อกรกับแลนติสและฆ่ามันได้ในที่สุด เธอยังใช้ฮาร์ปมาทั้งคู่กลับมาหาริแซนด์และเฟย์เรอ

วันเหมายันมาถึง ริแซนด์มาแผนที่จะกำชับมิตรกับเอริสโดยให้เนสต้ายั่วยวนเขา ชวนเขาเต้นรำ แคสเซียนไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องจำยอม วันงาน... การเต้นรำของเนสต้าสะกดสายตาทุกคน หล่อนทำให้ตัวเองเป็นสิ่งที่เอริสปรารถนามากที่สุดจนเขาแทบไม่สนกริชที่เนสต้าเป็นคนสร้างขึ้นมาซึ่งริแซนด์มอบให้เป็นของขวัญ การฉลองเล็กๆ หลังนั้น... ความอบอุ่นที่เนสต้าปฏิเสธและวิ่งหนีเมื่อปีก่อนได้กลับมาอีกครั้ง แคสเซียนมอบของขวัญให้เธอ เป็นหินที่กักกับเสียงเพลงเอาไว้ เขาไปขอให้นักดนตรีในงานเต้นรำให้เล่นใหม่เพื่อบันทึกในวันรุ่งขึ้น รวมถึงจากแหล่งอื่นๆ อีกในเมือง ทว่าเนสต้ากลับปฏิเสธ...

เธอบอกเขาว่ารับมันเอาไว้ไม่ได้ แคสเซียนคิดไปเองว่าเขาไม่เหมาะสมกับเธอที่เป็นดั่งราชินี เอริสนั่นแหละที่เหมาะสมกว่า แต่ไม่เลย เนสต้าบอกกับเขาว่าเธอต่างหากที่ไม่คู่ควรกับเขา ทั้งคู่ปรับความเข้าใจและร่วมรักกันอย่างลึกซึ่งเป็นครั้งแรก อะไรบางอย่างในตัวของพวกเขาถักทอหลอมรวมกัน การฝึกแบบวัลคีรีของเนสต้าเองก็ไปสวยจนกระทั่งเธอสามารถวิ่งลงมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายได้สำเร็จ ในงานที่ท้องฟ้าพร่าพรายไปด้วยดวงดาว เนสต้าได้คุกเข่าลงขอโทษแอมเรน สำหรับทุกอย่างที่เธอได้ทำลงไป แอมเรนให้อภัยและต้อนรับเนสต้ากลับสู่ไนท์คอร์ทอีกครั้งหนึ่ง

แคสเซียนต้องการให้เนสต้าพูดว่าเธอเป็นคู่ชีวิตเขาออกมา แต่เธอทำไม่ได้ เธอจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่และกลายเป็นเฟย์เต็มตัวไม่ได้ เธอสั่งให้เขาไปจากเธอจนกว่าเธอพร้อมที่จะคุย แต่ค่ำคืนนั้น... เนสต้ากลับถูกพาตัวเข้าสู่บลัดไรต์พร้อมกับกวินและเอมิรี่ เพื่อนสองคนที่ฝึกฝนแบบวัลคีรีมาด้วยกัน พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับเหล่านักรบ มีเพียงริแซนด์ แคสเซียน และแอซเรียลเท่านั้นที่พิชิตยอดเขาได้ในอดีต แคสเซียนรู้ว่าเนสต้าหายไปก็จะตามไปช่วยเธอให้ได้เพียงแต่ตอนนี้ข่าวว่าเอริสถูกไบรอลินจับตัวไปและเสี่ยงที่จะเปิดเผยความลับทั้งหมดของพวกเขา ทำให้แคสเซียนและแอซเรียลต้องไปพาตัวเอริสกลับมาให้ได้ระหว่างที่เนสต้าตกอยู่ในอันตราย

เนสต้า กวินและเอมิรี่เอาตัวไม่รอด พวกเธอพากันมาจนถึงทางขึ้นหุบเขาซึ่งเป็นทางที่ยากที่สุด ลูกพี่ลูกน้องของเอมิรี่ตามมาประชิดระหว่างที่กวินได้รับบาดเจ็บทำให้เดินแทบไม่ไหวทำให้เนสต้าต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อให้เพื่อนทั้งสองของเธอไปถึงยอดเขาได้สำเร็จ เอริสอยู่ภายใต้มนต์สะกดของมงกุฏที่ไบรอลินครอบครองทั้งที่เขาถือกริชที่เนสต้าสร้างขึ้นซึ่งถูกสันนิษฐานว่าจะทำให้ผู้ถือครองไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของมงกุฏ แคสเซียนถูกเอริสตลบหลัง ด้วยความช่วยเหลือจากโคชเชย์ ไบรอลินพาแคสเซียนกลับมายังภูเขาที่เนสต้ากำลังต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและถูกมนต์สะกดทำให้ทุกคนในนั้นไร้พลังที่จะต่อกร เขาฆ่าลูกพี่ลูกน้องของเอมิรี่ ช่วยเนสต้าเอาไว้แม้จะเปิดเผยทีหลังว่าไบรอลินกำลังควบคุมเขาอยู่ก็ตาม

ไบรอลินเกรงกลัวพลังของเนสต้าจึงวางแผนเอาไว้ทั้งหมดและรอคอยเวลานี้โดยใช้แคสเซียนเป็นเครื่องมือเพื่อแก้แค้นเนสต้า เพื่อครอบครองเดรดโทรฟและพลังอันมหาศาล แคสเซียนฝืนการควบคุมจิตใจที่สั่งให้เขาฆ่าเนสต้า ตั้งใจจะปลิดชีพตัวเองเพื่อไม่ให้ไบรอลินควบคุมให้เขาทำร้ายเธอ กระทั่งเมื่อหมดเวลาของพิธีกรรม มนต์ถูกคลายและเนสต้ากลับมาใช้พลังของเธอได้อีก เธอทำลายไบรอลินในที่สุด และจากนั้นเนสต้าก็ยอมรับแคสเซียนเป็นคู่ชีวิตของเธอ

เฟย์เรอคลอดลูกก่อนกำหนดและไม่มีทางใดที่จะยื้อชีวิตเธอเอาไว้ได้เลย กระทั่งเนสต้ามาถึง บัดนี้เธอครอบครองทั้งหน้ากาก ฮาร์ปและมงกุฏ เธอดีดฮาร์ปเส้นที่ยี่สิบหกซึ่งก็คือกาลเวลานั่นเอง เธอหยุดเวลา ยื้อความตายและอ้อนวอนว่าจะคืนพลังที่เธอช่วงชิงมาจากเดอะคอลดรันกลับไปหากมันช่วยให้เธอรู้วิธีที่ช่วยเฟย์เรอและลูกชายของเธอเอาไว้ แล้วถ้าหากเฟย์เรอตาย ตามพันธะสัญญาที่ผูกมัดเอาไว้ ริแซนด์ก็จะตายตามไปด้วย เมื่อแสงสว่างเรืองรอง ปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น ท่ามกลางความปิติดีใจของทุกคน พลังที่เคยทะลักล้นในตัวเนสต้ากลับคืนสู่เดอะคอลดรันเหลือเพียงไม่มาก

เนสต้ากับแคสเซียนผูกพันธ์กันเป็นคู่ชีวิตและวางแผนที่จะเข้าพิธีเฉลิมฉลอง แต่ก่อนหน้านั้นเนสต้าได้ขึ้นไปหาหลุมศพของเธอพร้อมกับเฟย์เรอและอีเลน กล่าวขอบคุณเขาที่สละชีวิตเพื่อเธอในสงคราม...

........................................................................

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เราร้องไห้ไปทั้งหมด 7 รอบกว่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ร้องพร่ำเพรื่อมาก สารที่ SJM สื่อออกมามันตราตรึง มันเข้าถึงใจคนอ่านเต็มๆ เต็มไปด้วยพลังบวก เต็มไปด้วยความรัก ไม่ใช่ความรักที่ทำให้คนอ่านฟินจิกหมอนจากคู่พระนางอย่างเดียว แต่มันยังทำให้คนอ่านรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รัก รู้สึกว่าตัวเองพิเศษและไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่บนโลกใบนี้ คิดว่าถ้าใครที่เป็นโรคซึมเศร้าได้อ่านคงจะรู้สึกดีไม่น้อยเลยแหละ 

A ​Court of Silver Flames (เราจะขอย่อสั้นๆ ว่า ACOSF) ไม่ใช่แค่การผจญภัยของตัวละครที่ทำให้คนอ่านรู้สึกสนุกตามไปด้วยเท่านั้น แต่หนังสือเล่มนี้ยังพาคนอ่านนั่งรถไฟเหาะแห่งอารมณ์ ปิดท้ายด้วยการสาดความรู้สึกดีๆ ใส่หน้าคนอ่าน ทำให้รู้สึกว่าเราสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ เรามีพลังที่จะขับเคลื่อนโลกใบนี้อยู่ในตัว เพียงแต่บางครั้งเราเลือกที่จะไม่แสดงออกมาหรือเก็บกดมันไว้ เพราะเรากลัวหรืออาจจะยังไม่พร้อม ทุกคนต่างมีแผลในใจ มีสิ่งที่ไม่อยากพูดถึงหรือให้ใครรู้ และหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้มาเชียร์หรือให้กำลังใจบอกว่าสู้ๆนะ มันไม่ใช่ความฉาบฉวยแบบนั้น แต่หลังจากอ่านจบ ACOSF เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับแผลเหล่านั้น ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ สิ่งที่เราพอจะทำได้ก็คือก้าวต่อไปข้างหน้าทีละก้าวและจง treasure ความรักจากคนรอบข้าง เรียนรู้ที่จะรักและถูกรัก นั่นแหละคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตแล้ว

เราอยากจะกอดหนังสือเล่มนี้เอาไว้แนบอกหลังอ่านจบเพราะว่าเรารักมันเหลือเกิน ตอนรีวิวเราก็ยังน้ำตาซึม ไม่คิดว่ามาสจะพัฒนาการเขียนไปได้ไกลขนาดนี้ ACOSF ไม่ใช่แค่หนังสือแฟนตาซีธรรมดาๆ แล้ว แต่มันเป็นหนังสือที่ resonate ไปถึงแก่นแท้ในใจของคนอ่านอย่างเรา

นอกจากเนื้อเรื่องที่ถูกขยายออกไปโดยไม่ออกทะเลเพราะ lore ในเรื่องยังมีให้เล่นอีกเยอะและมาสก็หยิบยกประเด็นขึ้นมาเล่าได้อย่างน่าสนใจสุดๆ เราชอบ sisterhood ในเล่มนี้มากๆ เนสต้าและเพื่อนสาวที่ฟันฝ่าอุปสรรค กอดคอไปด้วยกัน แสดงความเป็น feminist ออกมาได้อย่างสวยงามและเข้ากับบริบท เพื่อนหญิงพลังหญิง ซีนตอนจะปีนเขานี่มัน empowering มากๆ

เอาจริงเล่มนี้หนามาก น่าจะหนาที่สุดในชุด ACOTAR แล้ว การเล่าเรื่องก็ผ่านมุมมองบุคคลที่ 3 ทำให้อารมณ์ความรู้สึกมีความแตกต่างจาก 3 เล่มแรกในชุดนิดหน่อย แต่ภาษาการเขียน การเล่าเรื่องรวมไปถึงพาร์ทอารมณ์ มาสทำออกมาได้ดีเหมือนเดิม โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ อย่างที่เรารีวิวไปเล่มก่อนหน้าว่าฝีมือการเขียนของมาสนั้นพัฒนาขึ้นมากๆ ดังนั้นเล่มนี้ตรงส่วนนั้นไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเลย โดยเฉพาะความโรมานซ์ของแคสเซียน-เนสต้าที่มาแบบ enemies to lovers ใครสายนี้น่าจะชอบอยู่ บทรักเร่าร้อนเอาเรื่อง จัดหนักจัดเต็ม ทุกอย่างที่เคยฝัน ที่ไม่กล้าฝัน ที่คนธรรมดาคนนึงไม่กล้าฝันจาก 3 เล่มแรกในชุด มาสจัดมาให้แบบจุกๆ ในเล่มนี้แล้ว ครบรสมาก

จาก YA ที่กึ่งๆ ไปทาง NA พัฒนามาเป็นนิยายโรมานซ์เต็มตัวที่อัดแน่นไปด้วยพล็อตที่สมกับนิยาย High Fantasy การแตกย่อยของเส้นเรื่องที่ในเล่มนี้เน้นไปทางภัยคุกคามทางฝั่งมนุษย์ซึ่งรอบเร้นสมคบคิดกันเต็มที่ และนัยแอบแฝงของตัวละครที่เคยมีบทบาทในเล่มก่อนๆ ก็ทำให้หนังสือดูมีเล่ห์เหลี่ยม มีมิติ เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์บางอย่างซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ เราชอบการที่มาสบาลานซ์ทุกส่วนในหนังสือออกมาได้ดีมาก ทุกอย่างมีที่มาที่ไปและถูกปูมาอย่างละเอียด ไม่ได้ยกขึ้นมาแบบลอยๆ

เราชอบคู่แคสเซียนเนสต้าก่อนที่พวกเขาจะมีเล่มเป็นของตัวเอง ชอบนางเอกที่มีปมในใจกับพระเอกที่พยายามจะเจาะปราการน้ำแข็งเข้าไปให้ได้ เปิด ACOSF มา เนสต้าทำตัว bratty มาก ใครที่ไม่ชอบนางเอกแนวนี้อาจจะไม่ชอบหนังสือเล่มนี้หรืออ่านไม่จบไปเลยก็ได้ คือนางจะ self-centered สุดๆ ไม่สนสิ่งใด ใครมาสะกิดอารมณ์หน่อยคือโดนทุบรัวๆ โดยเฉพาะอีเลนนี่น่าสงสาร เป็นสนามอารมณ์ให้กับเนสต้าตลอดเวลา แต่พออ่านไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มรักเนสต้าไปโดยไม่รู้ตัว เห็นใจ สงสารและเอาใจช่วยเธออยู่ตลอด

เราชอบบทที่ 50 มากๆ เรียกได้ว่าน้ำตาไหล อินไปกับทุกๆ ไดอะล็อคที่เนสต้ากับแคสเซียนคุยกัน มันคือการสูญเสีย การโทษตัวเอง การให้อภัยตัวเองและความพยายามของใครสักคนที่จะก้าวพ้นความรู้สึกผิดในจิตใจไปให้ได้ ทำให้เราจากที่บ่นๆ ในใจว่าทำไมเนสต้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย สงสารแคสเซียนจัง แต่กลายเป็นว่าพอพ้นบทนี้ไป เราเห็นใจเธอ เข้าใจตัวละครนี้มากขึ้น เนสต้าไม่ใช่นางเอกสมบูรณ์แบบและไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด เธอเต็มไปด้วยรอยแผล เธอควบคุมอารมณ์ไม่ได้นั่นก็เพราะบาดแผลในจิตใจ ความหวาดกลัว อาการ PTSD ที่ต้องได้รับการเยียวยา เธอผลักไสคนอื่นเพราะคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความรักเหล่านั้นเลย

หลังจากบทนั้นมา ฉากสะเทือนอารมณ์ร้องไห้ตาบวมก็มาไม่หยุด มาเป็นระลอกๆ แต่ทุกครั้งล้วนแต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข มันอิ่ม เกือบๆ สามวันที่เราอ่านแทบไม่ได้หลับได้นอนมันคุ้มค่ากับทุกวินาที เราไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้วนอกจากจะบอกว่าลองซื้อมาอ่านเถอะ

เก่งมากนะ นักเขียนที่เปลี่ยนมุมมองชีวิตของคนรับสารของเธอได้เพียงแค่ประโยคเพียงไม่กี่คำ เหมือนกับเมื่ออาทิตย์ก่อนโน้นที่เราได้มีโอกาสดู WandaVision แล้วเจอประโยค "But what is grief, if not love persevering?" ที่ดังและกลายเป็นมีมชั่วข้ามคืน เราชอบสารที่ประโยคนี้สื่อออกมาก ดูเหมือนจะเป็นไลน์ธรรมดาๆ ที่ไม่น่ามีอะไร แต่มันกลับสั่นคลอนบางอย่างในใจเราตอนได้ยินประโยคนี้ที่วิชชั่นพูด นั่นแหละคือที่เราจะสื่อ นักเขียนที่มีความสามารถมากๆ สามารถใช้แค่ประโยคเดียวในหนังสือของเขาหรือเธอในการแทรกซึมเข้าไปในใจของคนอ่าน และทำให้พวกเขาเหล่านั้นประทับใจผลงานนั้นๆ

ถ้าเทียบกับ A Court of Mist and Fury ซึ่งเป็นเล่มที่เราชอบที่สุดในไตรภาคแรก อารมณ์ในเล่มนี้จะมีความเป็นผู้ใหญ่กว่า ความรู้สึกของตัวละครจะซับซ้อน มีมิติ รับกับนักอ่านกลุ่มเดิมที่ผ่านไป 5 ปีแล้วคงจะโตขึ้นไม่น้อย มองโลกในมุมที่แตกต่างออกไปจากเดิมบ้าง และมาสก็ไม่ได้เขียนอยู่กับที่ ขายอะไรเดิมๆ เธอพัฒนางานเขียนของเธอไปข้างหน้าพร้อมๆ กับโลกที่ยังคงหมุนต่อไปเรื่อยๆ 

เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยจากงานเขียนเล่มแรกๆ ที่มาสเริ่มเขียน มันก็เหมือน YA ทั่วไปในท้องตลาดนั่นแหละ อ่านแล้วมีชอบบ้างขมวดคิ้วบ้าง ไม่ได้พีคหรือขึ้นหิ้งอะไร แต่พอแต่ละปีผ่านไป (นับจาก ToG เล่มแรกจนถึงตอนนี้ก็ 9 ปีแล้ว) นักเขียนโตขึ้น มองโลกกว้างขึ้น เห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวมากขึ้นและจับมาใส่หนังสือของเธอเท่าที่จำเป็น ไม่น้อยเกินไปไม่มากเกินไป กรั่นกรองทุกอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้อย่างมีมิติ งานเขียนช่วงหลังมันเลยเข้าถึงจิตใจคนอ่านได้มากกว่า ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่หนังสือ YA หรือแฟนตาซีธรรมดาๆ แต่คุณค่าที่แท้จริงมันอยู่ในเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย พวกรายละเอียดต่างๆ นี่แหละ

ประเด็นเรื่อง Self-blame ถูกตีแผ่และบรรยายออกมาได้ดี รู้เลยว่ามาสใส่ใจกับประเด็นที่ละเอียดอ่อนแบบนี้มากๆ ไม่ได้ใส่มาเพื่อให้ตัวละครมันมีมิติอย่างเดียว แต่เธอเข้าใจมัน ใช้มันเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและให้กำลังใจคนอ่านที่ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน ตอนสามสาวกอดคอกันสารภาพเรื่องราวอันแสนเลวร้ายในอดีตและไม่มีใครโทษใคร หรือมองใครด้วยความรังเกียจ มันเป็นซีนที่ทรงพลังมากๆ แล้วตอนที่เนสต้าให้กำลังใจตัวเอง ประโยคง่ายๆ แสนธรรมดา แต่มันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง สะเทือนอารมณ์คนอ่านมากๆ

Never again.
Never again would she be weak.
Never again would she be at someone’s mercy.
Never again would she fail.
Never again, never again, never again.

ต่อไปเราขอพูดถึงเรื่องปก อย่างที่เห็นคือเล่มนี้เปลี่ยนปก ได้ @happypetsink  ในไอจีมาออกแบบให้ ตอนเห็นทีแรกเรายอมรับว่าไม่ชอบปกแบบนี้เอาเสียเลย แต่พอได้อ่านจริงๆ แล้ว ย้อนกลับมาดูปกใหม่อีกรอบ เรากลับรู้สึกว่ามันช่างเข้ากันกับโทนเนื้อเรื่องเอาเสียมากๆ และไม่ใช่แค่เล่มนี้นะที่ถูกเปลี่ยนปก สี่เล่มแรกก็มีการทำปกใหม่เหมือนกัน


เราว่าสวย ดูดุดัน เห็นแล้วนึกถึงรอยสักชาว Illyrians ในเรื่องเลย แล้วใน ACOSF ก็ยังมี bonus chapter อีก 2 ตอนนะ ตอนนึงเป็นของริแซนด์กับเฟย์เรอตอนรู้ว่าตั้งท้อง (B&N edition) อีกตอนน่าสนใจมากๆ แอซเรียล POV (BAM edition) ซึ่งดูเหมือนเขาจะสนใจในตัวอีเลนแม้ว่าอีเลนจะเป็นคู่ชีวิตเป็นลูเซียนอยู่แล้ว จนริแซนด์ออกปากว่าห้ามเข้าใกล้เธอนั่นแหละ แอซเรียลก็เผอิญไปเจอกวินพอดี มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้นิดหน่อย แต่แอซเรียลเนี่ย ตอนแรกชอบมอร์นะ แต่เขาไม่สนใจ ก็เลยมาชอบอีเลน ก็ไม่สมหวังอีก ถ้าไปคู่กับกวินนี่ไม่รู้จะยังไงนึกภาพไม่ออก แต่แอบเดาว่าไม่อีเลนก็กวินนี่แหละน่าจะเป็นคู่ของแอซเรียล

เราอยากให้เล่มหน้าเป็นเรื่องของแอซเรียลมากๆ ไม่รู้จะออกมาเป็นอย่างไรหรือคู่กับใคร แต่เราชอบคาแรคเตอร์นี้ตั้งแต่เขาปรากฏตัวครั้งแรกเลย

คะแนน 10/10

แปะ fanart สามบอยแบรนด์ในเรื่อง ริแซนด์ แคสเซียน แอซเรียล 



No comments:

Post a Comment