Dec 22, 2018

Queen of Air and Darkness (The Dark Artifices #3)



ชื่อเรื่อง Queen of Air and Darkness
จากชุด The Dark Artifices
ผู้แต่ง Cassandra Clare
วรรณกรรมเยาวชน แฟนตาซี
สำนักพิมพ์ Margaret K. McElderry Books

เรื่องย่อ

Dark secrets and forbidden love threaten the very survival of the Shadowhunters in Cassandra Clare’s Queen of Air and Darkness, the final novel in the #1 New York Times and USA TODAY bestselling The Dark Artifices trilogy.

What if damnation is the price of true love?

Innocent blood has been spilled on the steps of the Council Hall, the sacred stronghold of the Shadowhunters. In the wake of the tragic death of Livia Blackthorn, the Clave teeters on the brink of civil war. One fragment of the Blackthorn family flees to Los Angeles, seeking to discover the source of the blight that is destroying the race of warlocks.

Meanwhile, Julian and Emma take desperate measures to put their forbidden love aside and undertake a perilous mission to Faerie to retrieve the Black Volume of the Dead. What they find in the Courts is a secret that may tear the Shadow World asunder and open a dark path into a future they could never have imagined. Caught in a race against time, Emma and Julian must save the world of Shadowhunters before the deadly power of the parabatai curse destroys them and everyone they love.

REVIEW

หลังจากการเหตุการณ์นองเลือกและการตายของลิฟวี่ จูเลี่ยนและทุกๆ คนก็หัวใจสลาย เขาไม่อาจยอมรับได้ลง ไหนจะเรื่องคำสาปของพาราบาไทที่กำลังทำให้เขาเป็นกังวลใจอีก สุดท้ายจูเลี่ยนก็เลยไปหาแม็กนัสและให้เขากำจัดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไปเสีย เพื่อที่ว่าตนจะได้ไม่ต้องรู้สึกถึงความรักและความเจ็บปวดอีก

ทางด้านเจซและคลารี่ก็ถูกส่งไปยังดินแดนแฟรี่และหายสาบสูญไป เดียบอร์นอาศัยจังหวะที่โลกของนักล่าเงากำลังสั่นคลอนขึ้นมาเป็นผู้นำเพื่อจัดการกฎหมายลงทะเบียนชาวบาดาลทั้งหลาย มีเพียงสถาบันลอสแองเจลลิสที่อยู่ภายใต้การดูแลของเฮเลนเท่านั้นที่พยายามหลบเลี่ยงข้อบังคับนี้ แต่ไม่นานหลังจากนั้น จูเลี่ยนและเอ็มม่าก็ถูกส่งไปยังดินแดนแฟรี่เพื่อทำภารกิจอันตราย

รอยไหม้ลุกลามไปทั่ว เหล่าจอมเวทย์เองก็ล้มต่าง มีเพียงเทสซ่าและไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังรอด แต่พอจูเลี่ยนและเอ็มม่าเดินทางไปถึงซิลีคอร์ทและได้พบราชินีที่กำลังจะเดินไปหาราชาแห่งอันซิลีเพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเขา ทั้งคู่เลยต้องปลอมตัวเพื่อติดตามและยับยั้งแผนการเพื่อไม่ให้หนังสือปกดำฉบับสำเนาตกไปอยู่ในมือของเขาได้

จูเลี่ยนคิดจะแก้แค้นแอนนาเบล เพราะหล่อนเป็นสาเหตุการตายของลิฟวี่ ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งหน้าบัลลังก์ของราชันย์อันซิลี ระหว่างนั้นก็เกิดเหตุชุลมุนขึ้นเมื่อมาร์คและเคียรานถูกพาตัวเพื่อประหารต่อหน้าบิดาของตน โชคดีที่คริสติน่าตามมาช่วยได้ทัน เคียรานสังหารพ่อของตัวเอง แอนนาเบลและแอช ลูกชายของเซบาสเตียนกับควีนแห่งซิลีได้หลบหนีไปยังมิติธูล ที่ซึ่งไร้เวทมนตร์และเซบาสเตียนไม่ได้ถูกคลารี่กำราบ

จูเลี่ยนและเอ็มม่าหนีเอาตัวรอดไปยังธูล ที่นั่นเขาได้พบกับลิฟวี่ในอีกตัวตนอีกครั้ง แต่เขากับเอ็มม่าในโลกนั้นกลับไปอยู่ฝ่ายเซบาสเตียน เจซเองก็เช่นกัน หลังจากการตายของคลารี่ที่พยายามจะสังหารเซบาสเตียน เขาก็กลายมาเป็นคนร้าย ปีศาจออกล่าผู้คนไปทั่วในโลกใบนี้ ทว่าเอ็มม่าได้พบกับเทสซ่าและเขาก็ขอร้องให้เธอกำจัดเซบาสเตียนไปเสีย พร้อมทั้งบอกวิธีที่จะรักษาเหล่าจอมเวทย์ที่กำลังป่วยและพาเธอเข้าไปยังไซเลนท์ซิตี้เพื่อขโมยถ้วยและดาบออกมา ดาบที่ในโลกปัจจุบันได้ถูกคอร์ธานาของเธอทำแตกเป็นเสี่ยงไปแล้ว

เกิดการดักโจมตีหน้าไซเลนท์ซิตี้ แต่จูเลี่ยนและเอ็มม่าก็หนีเอาตัวรอดมาได้ ที่นั่นจูเลี่ยนได้สังหารแอนนาเบล แก้แค้นให้กับลิฟวี่ได้สำเร็จ เซบาสเตียนเองก็ถูกกำราบ และแม้ว่าพวกเขาจะพยายามพาตัวแอชกลับไปยังปัจจุบันของเขาให้ได้ แต่เจ้าตัวก็เสนอว่าจะอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงกลับมาพร้อมกับดาบเพียงเท่านั้น

เดียบอร์นประกาศอย่างเป็นทางการว่าเจซและคลารี่ถูกฆ่าตาย ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างนักล่าเงาและชาวบาดาล แถมยังส่งซาร่ามาขู่ถึงสถาบัน ซึ่งหลังจากการนำน้ำที่ทะเลสาบมารักษาแม็กนัสและจอมเวทย์คนอื่นๆ แล้ว จูเลี่ยนก็ได้รับความรู้สึกทั้งหมดกลับคืนมา เขาวางแผนที่จะตลบหลังเดียบอร์นโดยการไปแทรกแซงการเจรจาที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างนักล่าเงาและราชันย์คนใหม่ของอันซิลีซึ่ง

จูเลี่ยนกับเอ็มม่าจำต้องอยู่ห่างกันเพราะคำสาปของพาราบาไท พวกเขาจะกลายเป็นปีศาจหากความรู้สึกที่มีให้ต่อกันนั้นมากจนท่วมท้น เอ็มม่าคิดจะทำลายพาราบาไทรูนด้วยดาบ แต่จูเลี่ยนก็มาห้ามเอาไว้และขอให้เธอมีศรัทธาว่าพวกเขาจะผ่านเรื่องทั้งหมดนี้ไปได้หลังจากการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนคริสน่าเองก็กำลังสับสนว่าเธอไม่อาจเลือกระหว่างเคียรานและมาร์คได้ และเคียรานและมาร์คเองก็รักกัน เติมเต็มกันและกันเช่นกัน ความสัมพันธ์แบบสามคนบางทีอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

จูเลี่ยนเปิดโปงต่อหน้าสาธารณชนว่าการเจรจาทั้งหมดเป็นละครตบตา แท้จริงแล้วได้มีการเจรจาระหว่างสองฝ่ายมาก่อนหน้าแล้ว สงครามจึงเปิดฉากขึ้น ท่ามกลางความชุลมุน คริสติน่าสังหารโอบาน ราชาอันซิลีคนปัจจุบัน เอ็มม่าถูกซาร่าแทงด้านหลังจนปางตาย จูเลี่ยนที่มาช่วยเธอเอาไว้ไม่ทันก็ยอมที่จะมอดไหม้ไปพร้อมกับเธอ ร่างทั้งคู่จะขยายใหญ่และลุกโชน กลายเป็นเนฟิลิมที่มาจัดการชนวนของสงครามเกือบทั้งหมด ไม่มีใครยับยั้งทั้งคู่ได้ระหว่างที่จูเลี่ยนและเอ็มม่าเดินหน้าสู่อลิกันเต้และคิดจะทำลายเมืองซึ่งเป็นศูนย์รวมของเหล่านักล่าเงา

ดรู ทาฟและแบล็คธอร์นคนอื่นๆ จึงเผชิญหน้ากับจูเลี่ยนเพื่อทำให้เขากลับมาเป็นคนเดิม โชคดีที่แผนการนั้นสำเร็จ ทางด้านคิทเองที่ไหลตามน้ำไปกับไทมาโดยตลอดเรื่องที่เขาจะฟื้นคืนชีพลิฟวี่ขึ้นมาอีกครั้งก็พาทั้งคู่มาถึงจุดแตกหัก เมื่อไทคิดจะทำตามที่ว่าจริงๆ และคิทพยายามจะรั้งเขาเอาไว้จนเผลอสารภาพความรู้สึกที่ว่าเขารักไทออกมา หลังจากนั้นคิทก็ไม่อาจเผชิญหน้ากับไทได้อีก และเลือกไปอยู่กับเจ็มและเทสซ่าที่เสนอแห่งพักพิงพร้อมกับความจริงที่ว่าเขาคือทายาทของบุตรคนแรกซึ่งกำลังถูกตามล่าของราชาอันซิลีและราชินีซิลี

เอ็มม่าและจูเลี่ยนรอดชีวิตมาได้ พาราบาไทรูนถูกทำลาย คำสาปเองก็หายไปเช่นกัน ไม่มีใครเอาผิดพวกเขา อเล็คเองก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคนต่อไปของนักล่าเงา ที่งานเฉลิมฉลอง...อเล็คขอแม็กนัสแต่งงานท่ามกลางความยินดีของทุกคน เคียรานที่ต้องกลับไปเป็นราชาอันซิลีนั้นก็ทำให้เขาไม่อาจสานความสัมพันธ์กับมาร์คและคริสติน่าได้อีก

แต่สุดท้ายคริสติน่าก็หาทางออกจนได้ เธอส่งจดหมายไปขอกระท่อมจากพี่ชายของเคียรานที่ไปอยู่กับราชินีซิลีในฐานะที่ปรึกษา กระท่อมที่จะทำให้ทั้งสามใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานเท่าที่ต้องการโดยที่ส่งผลกระทบต่อฝ่ายไหน เอ็มม่าและจูเลี่ยนเองก็ได้ใช้ชีวิตอย่างที่พวกเขาใฝ่ฝันมาโดยตลอด นั่นก็คือการรักกันโดยไม่ต้องปิดบังใครและไปเที่ยวรอบโลกหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

เจซอีกคนจากธูลเดินทางมาพบราชินีซิลีในตอนท้ายพร้อมกับลูกชายของหล่อนที่หายตัวไป พร้อมกับยื่นข้อเสนอว่า...เขาต้องการตัวคลารี่

..................................................

สนุกแต่น่าเบื่ออ่ะ เล่มนี้เน้นไปที่การเมืองเสียส่วนใหญ่ แต่เขียนออกมาได้ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไร ตัวละครเยอะ เส้นเรื่องจึงมีหลายเส้น การเล่าเรื่องไม่ปะติดปะต่อเท่าไร บางช่วงตะกุกตะกัก แถมยังมีโมเมนต์ที่ตัวละครจะดูหลุดๆ ทำเรื่องโง่ๆ ดูย้อนแย้งกับคาแรคเตอร์ (อย่างเช่นมาร์คมีอยู่ตอนนึงที่ทำเอางงมากว่า เฮ้ย เล่นกันแบบนี้เพื่อให้เรื่องไปต่อได้เลยเรอะ) เราว่าเสน่ห์ที่เคยมีในเล่ม Lady Midnight มันหายเกลี้ยง จนกลายเป็นหนังสือที่ไม่มีอะไรน่าจดจำไปเลย พอๆ กับ The Motal Instruments เล่มหลังๆ ที่อ่านได้นะ...แต่ก็น่าเบื่อมาก จนกลายเป็นยานอนหลับชั้นดี

เป็นหนังสือเล่มจบที่โคตรหนา หนาพอๆ กับ Kingdon of Ash ที่เราเพิ่งจะอ่านไปเลย หนาจนเราคิดในใจตลอดเวลาว่า เล่มสุดท้ายในชุดของซีรีส์หลายเรื่องมันจำเป็นต้องหนาขนาดนี้มั้ย เป็นเทรนด์สำหรับนักเขียนแล้วเรอะ ที่จะแป๊กจะปังยังไงแต่ต้องหนาไว้ก่อน คือถ้าสนุกๆ น่าตื่นเต้นกว่านี้จะไม่ว่า แต่ถ้ามันนิ่งเฉยๆ เอื่อยๆ มันเหนื่อยและทรมานนะ (แอบบวกลบจำนวนหน้าในใจตลอดว่าเมื่อไรจะจบสักที 5555)

พล็อตเรื่องบางส่วนก็เชยมาก เหมือนอ่าน YA ที่เขียนขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน อย่างจูเลี่ยนไปขอให้แม็กนัสลบความรู้สึก เราว่าถ้าจัดการตรงส่วนนี้และเล่าเรื่องดีๆ มันจะมีอิมแพคพอสมควร แต่ Cassandra Clare ก็เล่าเรื่องเหมือนจะกำลังงงๆ อะไรกับตัวเองอยู่ จะเอาทางไหนก็ไปไม่สุดสักทาง มีหลายช่วงมากในหนังสือที่เรารู้สึกเหมือนกำลังอ่านงานเผา งานรีบ งานแค่เอาให้เสร็จเป็นพอ เหมือนนักเขียนรีบเข็นหนังสือออกมาเกินอ่ะ ไม่รู้จะรีบไปเปิดซีรีส์ The Last Hours หรือเปล่า ประเด็นบางอย่างมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ไม่นิ่ง ขาดความลุ่มลึกในการเล่าเรื่องเหมือนกับ 2 เล่มก่อน ไม่ค่อยมีลูกล่อลูกชน เล่าเรื่องทื่อๆ แข็งๆ ไร้เสน่ห์

หลังจากตามผลงานของ CC หลายปี (ถ้านับนิ้วก็ต้องใช้สองมือละมั้ง) เราว่าปัญหาที่ทำให้เราไม่ค่อยอินกับโลกของนักล่าเงาเท่าไรก็คือเซตติ้งนี่แหละ แล้วด้วยความที่มันเป็น urban fantasy เสียส่วนใหญ่อีก อะไรหลายๆ อย่างมันก็เลยมีขีดจำกัด แล้ว CC ก็จับพวกมนุษย์หมาป่า แวมไพร์ พ่อมดแม่มด แฟรี่มาเล่าแบบเผินๆ จะเจาะลึกตรงไหนสักตรงก็ไม่ โฟกัสเสียส่วนใหญ่จึงอยู่ที่นักล่าเงา เนฟิลิมเอย ถามว่าตอนแรกมันน่าสนใจมั้ย ก็น่าสนใจแหละ ช่วง 2-3 เล่มแรก แต่พออ่านได้สักพักและจับทางได้ว่าพวกนี้วันๆ ไม่ทำไรนอกจากเขียนรูนที่แขน ไล่กำจัดปีศาจ ปกป้องโลกจากภัยร้าย แค่เนี๊ยะ พอหนักๆ เข้ามันก็เบื่อ คิดดูว่าเราอ่านหนังสือ CC ที่ใช้พล็อตแบบนี้มาทั้งหมด ... 11 เล่มแล้ว รักต้องห้ามเอย เธอจะรักฉันไม่ได้ เดี๋ยวเราและคนอื่นจะเดือดร้อน หรือไม่ก็เธอรักฉัน แต่ฉันรักเขา โอย ไม่เบื่อก็ให้มันรู้ไป เอ้า 5555

ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เราชอบหนังสือของ CC บางเล่ม อย่าง Clockwork Princess นี่เราชอบเพราะความสัมพันธ์ของตัวละครล้วนๆ ส่วนพล็อตนี่เราเฉยมากๆ (แต่ยังดีมี TID มันเป็นเซตติ้งแนวย้อนยุค กลิ่นอายวิคทอเรีย มันเลยไม่ค่อยซ้ำซากจำเจกับ TDA ชุดนี้เท่าไร ซึ่ง TDA บางมุมอ่านแล้วรู้สึกว่านี่ฉันกำลังอ่าน TMI อยู่หรือไงฟะ ทำไมอะไรหลายอย่างไม่ต่างกันเลย)

arc ของตัวละครบางคน เราก็รู้สึกว่าจบได้แล้ว มันสมบูณณ์แล้ว โดยเฉพาะเจซคลารี่เนี่ย พอเถอะ พี่กราบละ 555 แต่ก็ยังจะลากยาวเล่าต่อ (ประเด็นในเล่มนี้ยังเล่าของคู่นี้ไม่หมดด้วยนะ) ยังดีที่ไม่ออกทะเลเท่าไร ยังมีส่วนน่าสนใจอยู่บ้าง แต่มันก็จำเจอะ ความสัมพันธ์ของจูเลี่ยนเอ็มม่าที่เราเคยกรี๊ดสลบ เล่มนี้เราว่าแผ่วปลายมาก ทั้งสองไม่สู้เลย ยอมแพ้โชคชะตาง่ายๆ ปฏิเสธกันเพราะรักต้องห้ามที่ไม่มีทางเป็นจริง เราว่ามาร์คเคียรานคริสติน่ายังจะน่าสนใจกว่า แต่ที่พีคสุดเราว่าต้องคิทไท ที่กำลังจะมีเล่มของตัวเอง The Wicked Powers ซึ่งกว่าจะได้อ่านคงอีกหลายปี

สรุปพล็อตเล่มนี้แทบไม่มีอะไรเลย จบได้ภายในจำนวนหน้าที่หนาครึ่งนึงของเล่มนี้ ส่วนมากเป็นเรื่องราวของตัวละครมากกว่า ความสัมพันธ์ต่างๆ ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนของตัวละครพวกนี้ เล่มนี้ก็ต้องห้ามพลาดแหละ

คะแนน 7/10

No comments:

Post a Comment