Apr 12, 2022

โค่นล้ม - The Institute



ชื่อเรื่อง โค่นล้ม (The Institute)
ผู้แต่ง Stephen King
ผู้แปล วิกันดา จันทร์ทองสุข
ลึกลับ ลุ้นระทึก
สำนักพิมพ์ แพรว

เรื่องย่อ

ยามดึก ภายในบ้านซึ่งตั้งอยู่บนถนนที่เงียบสงัดในเขตชนบทของเมืองมินนีแอโพลิส เหล่าผู้บุกรุกอย่างเงียบเชียบสังหารพ่อแม่ของ “ลูค เอลลิส” และจับตัวเขาขึ้นรถเอสยูวีสีดำ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงสองนาที

ลูคจะตื่นขึ้นในสถาบัน ในห้องที่เหมือนกับห้องของเขาเอง เพียงแค่ไม่มีหน้าต่าง และเมื่อออกจากห้องก็พบกับประตูมากมาย ซึ่งหลังประตูเหล่านั้นมีเด็กคนอื่นๆ ที่มีพลังพิเศษอยู่-พลังจิดและโทรจิต – ผู้เข้ามาอยู่ในสถาบันแห่งนี้ด้วยวิธีเดียวกับลูค

เขาได้รู้ว่า คาลิชา นิก จอร์จ ไอริส และเด็กสิบขวบ เอเวอรี ดิกสัน ต่างอยู่ในครึ่งหน้า ในขณะที่คนอื่นๆ จบการศึกษาไปอยู่ในครึ่งหลัง “เหมือนบ้านแมลงสาบ” คาลิชากล่าว “เธอเช็กอิน แต่ไม่ได้เช็กเอาต์”

ในสถาบันที่แสนชั่วร้ายแห่งนี้ มิสซิสซิกส์บีย์ ผู้อำนวยการ กับเหล่าคนงานของเธอ ต่างทุ่มเทเต็มที่อย่างไร้ความปรานีเพื่อรีดเต้นพลังพิเศษจากๆ เด็ก ไม่มีความลังเลในที่แห่งนี้ หากคุณยอมทำตาม คุณจะได้รับเบี้ยสำหรับใช้เครื่องขายอัตโนมัติ แต่หากไม่ ก็จะได้รับบทลงโทษอันโหดร้าย

ขณะที่เหยื่อคนใหม่หายตัวไปยังครึ่งหลัง ลูคก็ยิ่งกระวนกระวาย พยายามหาทางหนีและความช่วยเหลือ ทว่าไม่เคยมีใครหลบหนีออกจากสถาบันแห่งนี้ไปได้


REVIEW


ชีวิตของทิม อดีตตำรวจต้องพลิกผันเมื่อเขาตัดสินใจที่จะไม่ขึ้นเที่ยวบินและมาโบกรถข้างทาง นั่นทำให้เขากลายมาเป็นยามวิกาลในดูเพรย์ ที่ซึ่งกำลังจะเกิดเหตุบางอย่างขึ้นเมื่อลุค เด็กชายที่ฉลาดเป็นกรดถูกลักพาตัวในยามดึกคืนหนึ่ง พ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตาย และลูคถูกพาไปยังสถาบัน ที่นั่นไม่เหมือนสิ่งใดที่เขาเคยเจอ มันถูกแบ่งเป็นครึ่งหน้าครึ่งหลัง เด็กๆ ที่นั่นถูกจับไปทดลองแต่ลูคก็ยังได้เพื่อนใหม่ทั้งคาลิชา นิกกี้ จอร์จ ไอริส แล้วเด็กตัวน้อยที่ตามมาที่หลังเอเวอรี


การทดลองนั้นแสนโหด ลูคถูกจับฉีดยา ทำให้เขามองเห็นจุด เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แล้วถ้าไม่ร่วมมือก็อาจถูกทำร้าย รู้แค่ว่าเด็กที่ถูกจับตัวมามีพลังจิตและโทรจิต ส่วนเขานั้นมีอย่างแรก แม้ว่าจะไม่ได้มากเท่าไรก็ตาม ที่นั่นเขาผูกสัมพันธ์กับมอรีน แม่บ้านประจำสถาบัน ที่ดูเหมือนจะใจดีกับเด็กๆ แท้จริงแล้วหล่อนคือกาคาบข่าวซึ่งทำงานให้กับมิสซิสซิกส์บีย์ หัวเรือของสถานที่แห่งนี้

ลูคใช้คอมพิวเตอร์ในห้องโดยอาศัยความฉลาดของเขาทำให้รู้ว่าพ่อแม่ของเขาตายแล้ว และการทดลองก็จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพื่อนของเขาหายไปครึ่งหลังทีละคนสองคน ก่อนหน้านั้นเด็กร่างใหญ่กับหนึ่งในฝาแฝดก็ถูกทดลองจนตาย สุดท้ายจึงเหลือแค่เขาและเอเวอรี

เอเวอรีกับคาลิชาส่งกระแสจิตคุยกัน และบอกว่าครึ่งหลังนั้น ผู้ดูแลให้พวกตนดูหนังเรื่องเดิมซ้ำๆ และหลังจากนั้นจะปวดหัวมากๆ ทำให้เขาต้องรวมกลุ่ม ลูกเอาข้อมูลที่ได้มาสืบหาข่าวจึงรู้ว่าตัวละครเอกในหนังที่เปิดนั้นคือคนที่กำลังเป็นข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ว่าตายบ้าง ประสบอุบัติเหตุบ้าง มีบางอย่างเลวร้ายเกิดขึ้นที่นี่ พวกเขาใช้เด็กๆอย่างพวกเขาเพื่อรักษาโลกใบนี้เอาไว้ นั่นคือคำกล่าวอ้างที่ลูคได้ยินมา

ลูคช่วยมอรีนปลดหนี้ และหล่อนช่วยเขาหนี เพราะการทดลองของลูคกำลังจะสิ้นสุดและเขาจะถูกส่งไปครึ่งหลัง มอรีนให้แฟลชไดร์ฟเขามา ในนั้นมีหลักฐานที่จะเอาผิดสถาบันได้ หลังจากนั้ลูคก็ขุดหลุมที่รั้วเพื่อหนีออกไป เขาพายเรือ ขึ้นรถไฟต่อจากนั้น พาเขาไปเมืองเล็กๆ ชื่อดูเพรย์

กว่าสถาบันจะรู้ตัวว่าลูคหายไปก็ใช้เวลาพอสมควร โดยรีดเค้นข้อมูลจากเอเวอรีก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวไปด้านหลัง แต่ไม่เป็นไร พวกเขามีสายอยู่ทั่วประเทศ การตามหาตัวเด็กคนหนึ่งที่ขึ้นรถไฟไปแถมหูขาดจากการใช้มีดหั่นเครื่องติดตามที่หูอออกคงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไร ดังนั้นทันทีที่ลูคลงจากรถไฟ เรื่องของจึงถูกรายงานโดยสายตรงไปยังสถาบันทันที ปฏิบัติการชิงตัวหรืออาจจะุปิดปากฆ่าให้เรียบเริ่มขึ้นตอนนั้น

ทิมเป็นคนที่พบลูคระหว่างทำงาน เขาพาไปยังสถานีของนายอำเภอ และดูหลักฐานทุกอย่าง ระหว่างนั้นทีมที่นำโดยมิสซิสซิกส์บีย์ก็บุกมายิงถล่ม แน่นอนว่าได้ชาวบ้านช่วยเหลือเอาไว้ลูคจึงรอดมาได้ มีเพียงทิมและเวนดีอีกสองคนเท่านั้น ที่เหลือตายเรียบ

และตอนนี้ลูคต้องกลับไปพาเพื่อนๆ ของเขาออกมาเพราะเขามีข้อต่อรอง เขาจึงกลับไปยังสถาบัน ระหว่างนั้นเอเวอรีก็นำทีมเด็กพลังจิตโทรจิตคนอื่นๆ รวมถึงคนที่ถูกใช้งานจนไม่เหลือความคิดของตัวเอง พวกเขาถูกเรียกว่าพวกสมองตาย การรวมกลุ่มทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น ทำร้ายผู้คุมและบุกไปถึงอุโมงค์ที่เชื่อมส่วนหลังกับส่วนหน้าเอาไว้ ทว่าประตูกลับถูกล็อคจากระบบ และพวกเขากำลังจะถูกสแตกเฮาส์รมแก๊สให้ตายหากข้อตกลงระหว่างเขาและพวกลูคไม่สำเร็จ

ลูคมาถึงสถาบัน เขาถูกซุ่มโจมตี แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เอเวอรีเสียสละชีวิตตัวเองให้คนอื่นหนีออกมาได้ เขาถ่ายทอดสัญญาณ ติดต่อกับเด็กทุกคนในสถาบันทั่วมุมโลก รวมตัวในการโค่นล้มสถาบันที่เมนแห่งนี้ ทำรายจนราบคาบ รวมไปถึงคนอื่นๆ ทีทดลองกับเขา ทำร้ายเขา ลูคและทิมรอดชีวิตกลับมาได้ในท้ายสุด ทว่าก็ยังเหลือชายลิ้นเปลี้ยคนนั้นที่เป็นผู้กุมบังเหียนที่แท้จริง

ทิมได้พบกับบิล ชายลิ้นเปลี้ย เขามาขอให้ทิมเก็บความลับเรื่องสถาบันเอาไว้แลกกับสวัสดิภาพของคนที่เหลือรอด พร้อมกับบอกความจริงที่ว่าจุดประสงค์ของการก่อตั้งสถาบันก็คือช่วยมนุษยชาติจากจุดจบโดยการกำจัดจุดพลิกผัน บุคคลที่ชักนำให้เกิดการทำร้ายล้าง นอกจากนี้แล้วสถาบันยังมีกลุ่มคนที่มีพลังพิเศษนอกเหนือจากโทรจิต พลังจิต ซึ่งก็คือผู้หยั่งรู้

ผุ้หยั่งรู้จะเลือกเป้าหมาย และโทรจิต พลังจิตจะกำจัด พวกนี้จะเห็นอนาคตล่วงหน้า บิลโทษว่าที่ลุคโค่นล้มสถาบันในครั้งนี้จะทำให้มนุษยชาติจบสิ้น แต่ลูคก็ใช้ความฉลาดต่อกลับไปว่า การทำนายอนาคตอาจไม่ถูกเสมอไปเมื่อมีตัวแปรอิสระและระยะเวลาที่ยาวนานก็ทำให้อนาคตเปลี่ยนไปได้ นั่นเป็นอีกคนที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าใครถูกกันแน่ หากมีการทำนายถูกแม้แต่เพียงครั้งเดียวและการที่ลูคทำลายสถาบันไปแล้ว พวกเขาก็อาจะเป็นเหตุของจุดจบมนุษยชาติ แต่ในแง่หนึ่ง การแลกชีวิตเด็กไม่กี่คนกับคนส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ยุติธรรมนักในสายตาคนบางคน

ลูคบอกลาเพื่อนของเขาที่หนีออกมาได้ นิกกี้และคาลิชากลับใช้ชีวิตของพวกเขากับครอบครัวที่เหลืออยู่ ส่วนลูคอยู่กับทิมและได้เรียนต่อตามที่เขาหวังเอาไว้กับความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนๆ ในสถาบัน และหลักประกันซึ่งก็คือแฟลชไดร์ฟอันนั้น หากวันใดวันหนึ่งพวกเขาถูกคุกคาม ความลับทั้งหมดก็จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนทันที

............................................................

โค่นล้ม หรือ The Institute เป็นนิยายของคิงที่เราอยากอ่านมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ออก แต่ตอนนั้นไม่มีเวลา บวกกับนิยายออกใหม่เยอะเหลือเกินเลยลืมๆ ไป ผ่านหลายปีกระทั่งแพรวหยิบเอามาแปลก็เลยอะ ซื้อแปลไทยมาอ่านเลยก็แล้วกัน อุดหนุนสนพ. ของไทยเสียหน่อย

เราชอบทุกองค์ประกอบในหนังสือเล่มนี้ แม้ว่าช่วงแรกจะอืดอาดเพราะปูเรื่องนาน แต่เรากลับพบว่าบทพรรณนาทั้งหลายไม่ได้น่าเบื่อสักนิดเลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม เรากระหายที่จะอยากรู้ว่ารายละเอียดต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ  ในทุกๆ หน้ากระดาษ ไม่แปลกใจและไม่กังขาในความสามารถของคิงเลยสักนิดเดียว ในการเล่าเรื่องที่พล็อตธรรมดา พบได้ทั่วๆ ไปในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ เด็กถูกลักพาตัวเอาไปทดลอง บลาๆๆๆ มีผู้ใหญ่ใจร้ายอยู่เบื้องหลัง มีตำรวจสืบสวน มันแสนจะธรรมดา แต่เมื่อมาอยู่ในมือของคิงแล้ว มันไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

ความพิเศษมันอยู่ที่คิงใส่ใจในการสร้างตัวละครเอกแต่ละตัว แม้ว่าตัวประกอบที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรนัก แต่ในรีวิวนี้ของพูดตัวละครหลักอย่างลูคก็แล้วกัน เขาเป็นเด็กฉลาด ความคิดต่างๆ เป็นผู้ใหญ่กร้านโลกแต่บางมุมก็ยังมีการจำกัดกรอบที่ทำให้คนอื่นตระหนักได้เสมอว่าเขายังเป็นแค่เด็กนะ แต่การการกระทำของตลอดทั้งเรื่องเป็นไปตามเหตุและผล ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราประหลาดใจมากว่าโดยปกติที่เราอ่านนิยายที่มีเด็กดำเนินเรื่องเยอะๆ เราจะรู้สึกรำคาญหรือจูนไม่ติดกับเด็กคนนั้นคนนี้ แต่เรื่องนี้กับไม่ใช่แบบนั้น คิงทำให้เราผูกพันกับเด็กๆ ทุกคน จวบจนกระทั่งหน้าสุดท้ายของเรื่องราว อีกคนนึงก็คือ นิกกี้ เราชอบมากๆ เท่ห์ๆ คูลๆ

มาพูดถึงสิ่งที่ controversial ซึ่งก็คือประเด็นหลักของหนังสือเล่มนี้เลยดีกว่า เอาตรงๆ คิงเล่นโจทย์ที่ยาก และเป็นที่ถกเถียงกันมาเรื่อยๆ ว่าถ้าหากคุณมีโอกาสช่วยคนหมู่มากโดยการสละชีวิตคนหมู่น้อย คุณจะทำอย่างไร แต่คิงก็ขยี้ประเด็นนี้ให้ลึกลงไปอีกว่า ถ้าคนหมู่น้อยเหล่านั้นคือเด็ก ผ้าขาวล่ะ มันเป็นการเลือกที่ยากยิ่งกว่าไหม ทำให้เรานึกถึงฉากนึงใน Batman (Dark Knight) ของโนแลน ฉากเรือ Ferry ที่ลำหนึ่งมีคนธรรมดา ลำหนึ่งมีนักโทษ แต่ละลำมีทริกเกอร์สำหรับอีกลำ ฉากนั้นเราตราตรึงมาก ครั้งแรกตอนดู มัน controversial จนถึงขนาดที่ว่าสามารถเป็นประเด็นถกเถียงกันได้ยาวๆ จนถึงตอนนี้เลยแล้ว เราชอบประเด็นเล็กๆ ในภาพยนตร์หรือหนังสือที่เอามาขบคิดในทีหลังได้ และ The Institute เล่มนี้ ตอบโจทย์ในข้อนั้นมากๆ ประทับใจสุดๆ

ติดนิดนึงคือตัวร้ายหลักในเรื่องนี้ค่อนข้างแบน ดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่ยึดมั่นอุดมการณ์ตัวเองสุดโต่ง แต่พวกเขาไม่ได้ทำให้คนอ่านเชื่อแบบนั้น แม้จะมีพื้นเพว่าคนนี้เคยเป็นอะไรมาก่อน คิดอะไรอยู่บ้างก็ไม่ได้ทำให้เหล่าตัวร้ายมีมิติขึ้นมาเท่าไร เราว่ามันดูตลกและบางครั้งก็รู้สึกว่ายัดเยียดความร้ายกาจให้กับผู้ใหญ่คนนั้นๆ แบบไม่มีเหตุผลเกินไป เราลองคิดภาพตัวร้ายเป็นแบบตัวร้ายในการ์ตูน เวอร์ๆ เล่นใหญ่ ร้ายจัดๆ แต่พอมาเทียบกับตัวละครหลักอย่างลูคแล้ว ซึ่งตัวละครเขากลมมากๆ เรียลมากๆ มันเลยเห็นข้อแตกต่างนั้นชัดเจน

การกระทำตัวร้ายในช่วงท้ายเหมือนนั่งดูการ์ตูนดิสนีย์เวลาตัวร้ายโวยวายยามไม่ได้ดั่งใจหรือพ่ายแพ้ รักตัวกลัวตาย มันกลายเป็นตลกแทนที่จะน่าเกรงขาม ความกดดันตอนไคลแมกซ์เลยหายไปพอสมควร แต่มันก็สนุกอยู่นะ เหมือนนั่งดูหนัง hollywood ดีๆ สักเรื่อง แต่เราก็อดคาดหวังจากหนังสือที่ใช้หน้ากระดาษมากมายไปกับการ build-up แบบนี้ไม่ได้ คิดว่ามันจะต้องยิ่งใหญ่ mind-blowing แต่ก็จบแบบสมน้ำสมเนื้อ รับได้ ถึงจะน้อยกว่าที่หวังไปนิดนึงก็ตาม

อีกหนึ่งที่ต้องชื่นชมเลยก็คือ คิงคลายปมต่างๆ ที่ผูกเอาไว้ได้ดี เก็บหมดทุกปม และทิ้งประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเขียนเอาไว้ด้านบนให้คนอ่านเก็บไปคิดต่อได้ด้วย

ความเรียบง่ายของพล็อตเรื่อง กับการเล่าเรื่องที่ไม่ธรรมดา ร้อยเรียงเรื่องราวที่ทำให้ติดหนึบ ยิ่งช่วงหลังๆ เราไม่อยากจะวางหนังสือเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องวาง เพราะหนังสือเล่มนี้นั้น แปลผิด แปลตกเยอะมากๆ ตัวอย่างเช่น

"...what they say about the the mafia - once you're in..." ต้นฉบับแปลว่า "...เหมือนที่คนเขาพูดกันถึงหนังมาเฟียน่ะ..."  เราว่าที่จะสื่อจริงๆ ต้องเป็นมาเฟียเฉยๆ ไหม แบบแกงค์มาเฟีย ถ้าเป็นหนังชื่อมาเฟีย คนเขียนน่าจะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่อย่าง The Mafia ไปแล้วหรือเปล่า

แล้วก็คำว่า streak of fatalism อันนี้นักแปลแปลว่า ดวงสังหาร น่าจะคิดว่า fatal คือ ตาย งี้หรือเปล่า แต่จริงๆ คำว่า fatalism มันคือ ความเชื่อ/หลักปรัชญาที่คล้ายๆกับ เราไม่มีอำนาจควบคุมโชคชะตาหรืออะไรหรอก ดังนั้นอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แล้วก็ streak คือ ลักษณะนิสัย ดังนั้นถ้าเอามารวมกันแล้ว ไม่ได้แปลว่าดวงสังหารแน่ๆ น่าจะเป็น นิสัยที่เชื่อว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

แล้วก็ ...the Institute could be kept a secret แปลไทยแปลว่า ...สถาบันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้หรือเปล่า... อันนี้เราว่าไม่น่าพลาด น่าจะรีบแปลหรืออ่านไวๆ จนลืมมองว่ามันเป็น passive voice แน่ๆ เพราะที่ถูกคือ ...เก็บเรื่องสถาบันไว้เป็นความลับได้หรือเปล่า...

แล้วก็พวกแปลตกเล็กๆ น้อยๆ อีกประปราย บางอันทำให้ความหมายประโยคเพี้ยนไปเลยก็มี ประโยคกำกวมก็มีบ้าง 
 
ถามว่าหงุดหงิดไหมเจอแบบนี้ หงุดหงิดมาก หนังสือราคา 500 กว่าบาท แต่คุณภาพด้านในเหมือนไม่ใช่แพรวทำ แปลผิด แปลตก ถ้าพลาดแบบเนียนๆ ที่เราอ่านต่อไปได้แบบไม่เอะใจอะไรก็ไม่เป็นไร ยกผลประโยชน์ให้ แต่อันนี้พลาดแบบต้องหยุด งง กระพริบตาปริบๆ ไปเปิดหาต้นฉบับว่าตรงนี้จริงๆ แล้วคิงต้องการจะสื่ออะไร ถึงอ๋อ แล้วเราต้องทำแบบนี้บ่อยมาก ทุกๆ 20-30 หน้า จนหลังๆ ช่วงใกล้จบเราเกิดคำถามว่า ถ้าต้องมานั่งทำแบบนี้ ทำไมเราไม่อ่านต้นฉบับไปเสียเลยล่ะ ซึ่งเออ ก็จริง ทำไมอะ คงเพราะอ่านแปลไทยมาถึงขนาดนี้แล้วมั้ง ไม่อยากไปต่อต้นฉบับแบบครึ่งๆ กลางๆ ถ้าเริ่มก็ต้องเริ่มใหม่หมดตั้งแต่ต้น ซึ่งเรางานยุ่ง ไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น แต่ในอนาคตถ้ามีเวลา+ความอยากอ่าน เราคงหยิบต้นฉบับภาษาอังกฤษมาอ่านซ้ำแน่ๆ

ตามเคย เรื่องแปลไม่ดีเราคิดว่าไม่แฟร์ที่จะเอามารวมกับคะแนน ไม่งั้นหนังสือเล่มนี้คงเหลือแค่ 6 เพราะงานแปลหยาบไปหน่อย เหมือนรีบแปลรีบออก เช็คแล้วอาจจะตกหล่นไปบ้าง

สุดท้ายแล้ว อยากแนะนำทุกคนที่อ่านรีวิวนี้จนจบว่า... ถ้าใครภาษาอังกฤษแข็งแรง หนีไป!!! อ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษเท่านั้น อย่ามาตกม้าตายแบบเรา นิยายดีๆ ขึ้นหิ้งแบบนี้ ไม่ควรต้องมาเสียอรรถรสเพราะการแปลพลาดและการทำงานตรวจสอบที่ไม่ละเอียดของสนพ.




คะแนน 9/10

No comments:

Post a Comment