May 3, 2022

Midnight Sun (The Twilight Saga #5)



ชื่อเรื่อง Midnight Sun
จากชุด The Twilight Saga
ผู้แต่ง Stephenie Meyer
วรรณกรรมเยาวชน เหนือจริง/โรมานซ์
สำนักพิมพ์ Little, Brown Books for Young Readers

เรื่องย่อ

When Edward Cullen and Bella Swan met in Twilight, an iconic love story was born. But until now, fans have heard only Bella's side of the story. At last, readers can experience Edward's version in the long-awaited companion novel, Midnight Sun.

This unforgettable tale as told through Edward's eyes takes on a new and decidedly dark twist. Meeting Bella is both the most unnerving and intriguing event he has experienced in all his years as a vampire. As we learn more fascinating details about Edward's past and the complexity of his inner thoughts, we understand why this is the defining struggle of his life. How can he justify following his heart if it means leading Bella into danger?

REVIEW

ชีวิตประจำวันสำหรับเอ็ดเวิร์ด คัลเลน แวมไพร์ซึ่งอยู่ในคราบนักเรียนไฮสคูลต้องเปลี่ยนไปเมื่อเด็กใหม่อย่างเบลล่า สวอนเข้ามาเรียน กลิ่นแรกของเธอที่ปะทะจมูกของเขาทำให้เอ็ดเวิร์ดเจียนคลั่ง ในหัวเต็มไปด้วยภาพรุนแรงที่นำไปสู่การปลิดชีวิตเธอในห้องเรียน แต่เขาก็ยั้งใจเอาไว้ได้ เขาคิดจะหนีไปจากฟอร์ค แต่สุดท้ายก็ต้องย้อนกลับมาอยู่กับครอบครัวของเขา

เมื่อต้านทานต่อไปไม่ไหว เขาจึงเข้าหาเธอ ทั้งคู่มีปฏิสัมพันธ์กันสั้นๆ ในชั้นเรียนอันนำไปสู่สิ่งเย้ายวนใจมากมายภายในหัวของเอ็ดเวิร์ดซึ่งมีความสามารถในการอ่านความคิดของคนอื่นๆ เขารู้ว่าใครคิดยังไงกับเบลล่า เจสสิก้าที่ไม่ได้หวังดีและขี้อิจฉา ไมค์ที่ชอบเบลล่า แองเจล่าที่หวังดีกับเพื่อน

เอ็ดเวิร์ดช่วยเบลล่าเอาไว้จากอุบัติเหตุรถลื่นไถลจนเกือบจะเอาตัวไม่รอด นั่นทำให้เกิดคำถามมากมายแก่เบลล่า เอ็ดเวิร์ดเริ่มตีตัวออกห่าง เบลล่าเองก็นึกสงสัยบางอย่าง แต่เขาก็ยังแอบเข้ามาห้องนอนของเธอ เฝ้าดูเบลล่านอนหลับเฉยๆ ทุกคืน จนกระทั่งเขาได้ยินเบลล่าเรียกชื่อเขาระหว่างที่หลับ เอ็ดเวิร์ดก็รู้ว่าเขาต้านทานเธอไม่ไหวอีกต่อไป

เบลล่าไปพักผ่อนที่ลาพุชที่ซึ่งต้องห้ามสำหรับแวมไพร์อย่างเขา เอ็ดเวิร์ดตามเบลล่าไปจนถึงพอร์ตแอนเจลิส ที่นั่นเบลล่ากำลังจะถูกทำร้าย เขาช่วยเธอเอาไว้ และความจริงที่เบลล่าได้ยินมาบวกกับสถานการณ์ตรงหน้าทำให้เธอสามารถสรุปได้ว่าเอ็ดเวิร์ดเป็นแวมไพร์


หลังรู้ความจริง ทุกสิ่งเหมือนจะง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ เอ็ดเวิร์ดต้องยั้งใจตัวเองทุกครั้งที่อยู่ใกล้เบลล่า เพราะเขาจะเป็นอันตรายต่อเธอ ความอยาก ความกระหายล้วนแต่เป็นข้อกำจัดที่ทำให้เขาไม่ได้ใกล้ชิดเธออย่างที่ควรจะเป็น เอ้ดเวิร์ดจึงตัดสินใจพาเบลล่าไปยังป่า ให้เธอเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาภายใต้แสงอาทิตย์ หากเธอจะวิ่งหนี จากเขาไปตลอดกาลเพราะเหตุนี้ ก็คงต้องให้เป็นตามนั้น

แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม เบลล่าไม่จากเขาไป ซ้ำยังต้องการจะใกล้ชิดเอ็ดเวิร์ดมากกว่าเดิม ทั้งคู่จูบกัน ไม่นานหลังจากนั้น เอ็ดเวิร์ดก็พาเบลล่าไปที่บ้านของเขา ไปให้รู้จักกับคนอื่นๆ อดีตของพวกเขาทุกคน เอ็ดเวิร์ดชวนเบลล่าไปดูพวกเขาเล่นเบสบอลท่ามกลางพายุ และนั่นคือต้นเหตุสื่อหายนะที่กำลังจะตามมา

เจมส์และกลุ่มแวมไพร์ของเขาได้กลิ่นเบลล่าและทำให้สัญชาตญาณนักล่าในตัวของเขาถูกปลุก เขาจะไม่หยุดจนกว่าจะได้ตัวเบลล่า นั่นทำให้เอ็ดเวิร์ดต้องแยกห่างจากเบลล่า ล่อเจมส์ไปอีกทางเพื่อกำจัดเขาแต่กลับพลาดท่า เจมส์วกกลับไปหาเบลล่าซึ่งอยู่ในฟินิกซ์ เอ็ดเวิร์ด คาร์ไลส์และเอ็มเม็ตรีบนั่งเครื่องบินตามไป

แต่ทันทีที่แลนดิ้ง พวกเขาก็เห็นนิมิตรของอลิซและรู้ได้ทันทีว่าเบลล่ากำลังตกอยู่ในอันตราย เอ็ดเวิร์ดจำต้องขโมยรถและซิ่งไปยังสตูดิโอแห่งนั้นในนิมิตรให้เร็วที่สุด พอไปถึงก็พบว่าเบลล่าในสภาพบาดเจ็บสาหัส เจมส์ฝากรอยเขี้ยวไว้ที่มือของเธอและเอ็ดเวิร์ดจำเป็นต้องดูดพิษออกหากไม่อยากให้เบลล่าลงเอยเป็นหนึ่งในภาพที่อลิซมองเห็น ซึ่งก็คือเธอกลายเป็นแวมไพร์

เอ็ดเวิร์ดไม่อยากให้เบลล่าเป็นเช่นเขา ไม่อยากพรากชีวิตปกติสามัญของเธอไป เขาจึงลงมือทำและสำเร็จ อลิซจัดแจงสร้างสถานการณ์ขึ้นมาทั้งหมดไม่ให้มีใครสงสัยและนำตัวเบลล่าส่งโรงพยายาล เรเน่ แม่ของเบลล่ามาเยี่ยมและดูแลลูกสาว เอ็ดเวิร์ดก็ดูแลไม่ห่างไปไหนกระทั่งเขาเห็นวิดีโอที่เจมส์ถ่ายเอาไว้ตอนที่เขาไล่ล่าเบลล่าในสตูดิโอ เขาก็รู้ว่าเขาคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เป็นความผิดของเขาที่เบลล่าต้องบาดเจ็บ เขาจึงสวดภาวนาให้ตนมีเข้มแข็งพอ ให้ช่วยปกป้องเบลล่าจากตัวของเขาเอง เขาทำลายวิดีโอนั่นทิ้งรวมถึงฝาขวดน้ำที่เป็นส่วนของเบลล่าซึ่งเขาแอบเก็บเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว ราวกับเป็นเครื่องรางประจำตัว

พอกลับมายังฟอร์ค เอ็ดเวิร์ดก็พาเบลล่าไปงานพรอม ที่นั่นเบลล่าได้เจอกับเจคอบซึ่งโดนพ่อของเขาสั่งมาอีกทีให้มาเตือนเบลล่าเกี่ยวกับเอ็ดเวิร์ด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ปลีกตัวออกไป เบลล่าคิดว่าที่เขาจับเธอแต่งตัวในทีแรกก็เพราะเนื่องในโอกาสพิเศษที่จะเปลี่ยนให้เธอเป็นแวมไพร์เช่นเดียวกับเขา เพื่อที่ทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาล แต่กลับไม่ใช่ แม้เอ็ดเวิร์ดจะสัญญาว่าจะอยู่กับเธอ แต่เขาก็รู้ว่าสักวันเมื่อสัญญาณนั้นมาถึง เขาอาจจะต้องเดินจากไปและทิ้งเบลล่าไว้ลำพัง ไม่ต้องรอจนกว่าเธอจะโตเกินเขาไป ถึงจะจากไปเพราะเบลล่าจะเจ็บน้อยสุด เขาวาดภาพว่าเธอมีครอบครัวที่เขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของมัน และเบลล่าจะนึกถึงความทรงจำเล็กๆ เหล่านี้เมื่อเวลาผ่านไปนานแสนนาน และตอนนั้น... เขาก็คงจะเดินออกไปจากชีวิตของเธอแล้ว

เอ็ดเวิร์ดจุมพิตที่คอของเบลล่า ไม่เปลี่ยนเธอเป็นแวมไพร์ เขาไม่อยากให้คราวนี้เป็นรัตติกาลสำหรับชีวิตของเธอ เพราะชีวิตของเบลล่านั้นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นต่างหาก...


........................................................

เราเป็นแฟนตัวยงนิยายชุด Twilight ตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมต้น ตอนนั้นจำได้ว่าหนังสือเพิ่งจะออกมาถึงเล่ม 3 และหนังภาคแรกเพิ่งจะเข้าโรงและเป็นกระแส เรารอเล่ม Breaking Dawn ให้แปลไทยไม่ไหว นอกจากจะโทรไปทวงกับสนพ. ปราชญ์เปรียวในตอนนั้นบ่อยมากๆ แล้ว เรายังทยอยแปลเนื้อหานิยายทีละหน้าสองหน้าไปโรงเรียนให้เพื่อนๆ ที่ชอบ Twilight เหมือนกันได้อ่านด้วย ละจำได้ลางๆ ว่าเป็นความรู้สึกที่ว้าวมากๆ ที่ได้รู้เนื้อเรื่องในเล่มนั้นไปทีละหน้าสองหน้าจนกระทั่งอ่านหนังสือจบ เรียกได้ว่า Breaking Dawn เป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่เราหยิบมาอ่านจริงๆ จังๆ เลยก็ว่าได้ นอกจากนั้นยังติดตามข่าวสารของบอร์ดคุณโซลแบบต้องเข้าไปดูทุกวันว่ามีอะไรอัพเดตบ้าง

พอได้ข่าว Midnight Sun ออกวางขายเมื่อปี 2020 เรารู้สึกตื่นเต้น แต่ด้วยเพราะเวลามันผ่านมา 15 ปีแล้ว ความตื่นเต้นนั้นเราอยู่ในระดับกลางๆ จนเราลืมที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ไปสนิท แต่พอได้อ่านจริงๆ แล้ว 2-3 บทแรกมันเป็นอะไรที่ยากลำบาก เพราะความคิดของเอ็ดเวิร์ดในช่วงแรกมัน monotone มากๆ เหมือนมานั่งฟังเขาบ่นงึมงำๆ อะไรให้ฟังก็ไม่รู้ แล้วด้วยความที่เอ็ดเวิร์ดมีความสามารถในการได้ยินความคิดของคนอื่นจึงทำให้เนื้อเรื่องแต่ละบทถูกยืดออกไปอีกจาก Twilight เล่มแรกเป็นอย่างมาก และเต็มไปด้วยความคิดของตัวละครรอบๆ ตัวของเขาซึ่งบางครั้งเราก็ไม่ได้สนใจใคร่รู้

เราสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ skim หนังสือเล่มนี้เด็ดขาด สาเหตุเพราะเอ็ดเวิร์ดเป็น book boyfriend คนแรกของเรา นั่นทำให้ความรู้สึกของเราที่อ่านหนังสือเล่มนี้ซึ่งมีแค่ 650 กว่านี้กลายเป็นรู้สึกเหมือนเรากำลังอ่านหนังสือที่ยาว 2000+ หน้า มันยาว มันทรมาน มันกรีดร้องอยู่ในใจว่าเมื่อไรจะจบ เหมือนเนื้อเรื่องไม่รู้จะไปจบตรงไหน  ทั้งๆ ที่เราก็จำเนื้อเรื่องใน Twilight ได้ชัดเจนว่ามันเป็นยังไง ถึงตรงนี้แล้วจะเป็นไงต่อ

ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ แม้สำนวนการเขียนของเมเยอร์ก็พัฒนาขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรกันเลย เราว่าการใช้คำของเธอค่อนข้าง redundant และ repetitive คือ redundant ในแง่ของการบรรยายแบบน้ำไหลไฟดับ ส่วนไหนไม่สำคัญ ไม่เกี่ยวพันก็ไม่ตัดออก จะขัดแย้งกับประโยคก่อนหน้าในเชิง figurative ก็ช่าง ซึ่งถ้าตัดประโยคส่วนเกินมาทิ้ง เราว่าความหมายในเชิง figurative นั้นๆ จะสวยงามและเรียบเนียนขึ้นมาก แต่เมเยอร์ก็ยังห้อยท้ายมาอย่างนั้นให้เราขมวดคิ้วเล่นๆ 

repetitive ในแง่ของการใช้คำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา อ่านๆ ไปจะเจอว่าใช้คำๆ นี้บรรยายอีกแล้วหรอ เหมือนจะมีศัพท์เด่นๆ ที่ใช้ซ้ำกันอยู่ไม่กี่คำ หลังๆ เวลาเจอก็แอบเบื่อ แล้วก็ inner monologue ของเอ็ดเวิร์ดนั้นหมกมุ่นมาก วันๆ เขาคิดอยู่ไม่กี่เรื่อง ไม่กลิ่นของเบลล่าหอมยั่วยวนจนเจ็บปวด ก็ผมต้องเดินจากเธอไป ผมเป็นอันตรายต่อเธอ ผมต้องจากชีวิตเธอไป แต่ไม่ล่ะ ผมทำไม่ได้ วนไปวนมาอยู่แค่นี้

ข้อดีของ Midnight Sun ที่เราชื่นชอบเลยก็คือเนื้อเรื่องบางช่วงบางตอน ในมุมมองของเอ็ดเวิร์ด มัน emotional มากในแง่ของความรู้สึกที่เขามีต่อเบลล่า (เช่น ตอนที่เขาสวดภาวนาต่อพระเจ้าของเธอในโบสถ์) แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อยประมาณ 3% จากทั้งเล่มได้ กับความคิดในหัวของเจคอบ น่ารักเกินไป เหมือนลูกหมาตัวน้อยๆ ที่ตามเบลล่าต้อยๆ ได้ยินข่าวมาว่าเหมือนเมเยอร์จะเขียนหนังสือในซีรีส์ Twilight ต่ออีกด้วยมั้ง อยากอ่านมุมมองของเจคอบบ้าง หรือเป็นเรื่องเจคอบกับเรเนสเม่ไปเลยก็ได้ แบบนั้นคงว้าวมากๆ ฝันที่เป็นจริง...

เราชอบความสัมพันธ์ของเนื้อเรื่องกับปก เอ็ดเวิร์ดเปรียบตัวเองเป็นเฮดีส เบลล่าเป็นเพอร์เซโฟนี่ที่กินผลทับทิมลงไป น่าจะเป็น literary trope ที่เราว่าเวิร์ดสุดในหนังสือเล่มนี้ละ เห็นภาพและส่งความรู้สึกชัดเจนกับคนที่รู้เรื่องราวทางนี้

เอ็ดเวิร์ดเป็น peeping tom อย่างที่เขาว่าเอาไว้จริงๆ นั่นแหละ แอบส่องแอบดู มองผ่านสายตาคนอื่นไปทุกหนทุกแห่ง ตามไปยืนมองเบลล่าถึงในห้องนอน จากที่มันควรจะโรแมนติคในมุมมองของเบลล่าใน Twilight กลายเป็นว่าพอมาเจอใน Midnight Sun เราว่ามันเอนไปทาง creepy เสียมากกว่า ตามรูป

(เอ็ดเวิร์ดตอนเราอ่าน Twilight - Breaking Dawn จบ เคลิบเคลิ้มชวนฝัน first crush วัยใส)

(เอ็ดเวิร์ดหลังจากที่เราอ่าน Midnight Sun จบ เราคงมองเขาเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไป น่ากลัวมาก)

เราไม่รู้สึกว่ามันโรแมนติคจริงๆ กับการที่มีผู้ชายยืนแข็งเป็นหิน จ้องมองเราในตอนกลางคืน จะคิดในแง่มุมไหนก็คือไม่ได้ๆๆๆ ยิ่งตอนใกล้ๆ จบ หลังจากเบลล่าบาดเจ็บก็ยิ่งไปกันใหญ่ พล็อตผมรักคุณแต่ผมอยู่กับคุณไม่ได้ ผมเป็นอันตรายต่อคุณ เมื่อก่อนมันอาจได้ผลสำหรับเรา (หมายถึงเมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว) แต่พอมาเดี๋ยวนี้ มันไม่ได้รู้สึกว้าวเหมือนกับตอนที่อ่าน Twilight ครั้งแรกแล้ว อาจจะด้วยวัยมากขึ้นด้วยก็ได้ อ่านหนังสือเยอะขึ้นด้วย รู้อะไรมากขึ้น มันเลยไม่อิน

พูดได้เต็มปากว่า Midnight Sun มาทำลายความประทับใจแรกเริ่มในวัยใสของเราไปพอสมควร เราแทบจะไม่ได้รู้เนื้อเรื่องอะไรเพิ่มเลยถ้าเทียบกับ Twilight จะมีก็แค่ backstory ของคนในตระกูลคัลเลนว่าในอดีตพวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง รวมไปถึงในช่วงเวลาที่เอ็ดเวิร์ดไม่ได้อยู่กับเบลล่า เขาไปทำอะไรที่ไหนกับใคร อย่างไร ซึ่งมันก็ไม่ได้น่าสนใจเท่าไร แลกกับความยาวหนังสือที่มากมายขนาดนี้

สำหรับความคิดในหัวของเอ็ดเวิร์ดเราว่ามันหมกมุ่นเกินไป น่าสนใจไม่พอที่จะทำให้เราอ่านไปจนจบได้โดยไม่รู้สึกทรมาน ความรู้สึกดีๆ หลังอ่านหนังสือเล่มนี้จบก็คือการที่อยากจะร้องออกมาว่า จบสักทีโว้ยยยยย!

เหมือน Midnight Sun ออกมาเพื่อทดสอบว่าคุณเป็นแฟนคลับ Twilight แบบเหนียวแน่นขนาดไหน เราว่ามันเป็นหนังสือที่อ่านได้สำหรับคนที่รัก Twilight อย่างเหนียวแน่น รักแรกพบ รักไม่มีวันตาย ความประทับใจต่างๆ ในวันวานและไม่ได้สูญเสียตัวตนเหล่านั้นไปกับอายุที่เพิ่มขึ้นก็อาจจะชอบหนังสือเล่มนี้

ส่วนเรานั้นไม่ไหว ใครไหวไปก่อนเลย เพราะหนังสือยาวเกินเบอร์ไปมาก ถ้าสั้นกว่านี้สักครึ่งนึง ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออก อาจจะเป็นหนังสือที่เราชอบมากๆ ในซีรีส์อีกเล่มนึงเลยก็ได้

ถ้าให้คะแนนแบบกลางๆ นักอ่านทั่วไปไม่ใช่แฟนคลับ Twilight เราให้แค่ 5 แต่เราในฐานะที่รักมาตลอดและรักตลอดไป ขอให้ 7 แล้วกัน และสัญญาว่าจะพยายามลืมความ creepy บางช่วงบางตอนของเอ็ดเวิร์ดในเล่มนี้ไปให้ได้ ฮือ...

คะแนน 7/10

No comments:

Post a Comment